หลังจากดิสนีย์ซื้อหุ้น BAMTech เมื่อปีก่อนกว่า 33% เพื่อทดลองและเรียนรู้รูปแบบธุรกิจสตรีมมิ่ง มาวันนี้อนาคตของการรุกตลาดใหม่เริ่มชัดเจนมากขึ้น ด้วยการควักเงินเพิ่มกว่า 1.58 พันล้านเหรียญเพื่อขยับหุ้นขึ้นอีกว่า 42% ทำให้ดิสนีย์กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BAMTech และมีอำนาจตัดสินใจอนาคตธุรกิจต่อไป
แน่นอนว่าด้วยลิขสิทธิ์ของคอนเทนต์ที่อยู่ในมือ BAMTech ทั้งการถ่ายทอดเมเจอร์ลีกส์ เบสบอล และลิขสิทธิ์ในกีฬาอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงรายการช่องซีรี่ย์ที่กำลังโด่งดังอย่าง Game of Thrones ในช่อง HBO และอีกหลายๆรายการ รวมถึงเทคโนโลยีการสตรีมมิ่งที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ย่อมเป็นโอกาสที่ก้าวกระโดดให้กับดิสนีย์ได้อย่างดีเยี่ยม
ด้านโรเบิร์ต ไอเกอร์ ประธานและซีอีโอ ดิสนีย์ เปิดเผยว่า ด้วยขอบเขตของคอนเทนต์ที่กว้างมากขึ้น การต่อตรงเนื้อหาของผู้ผลิตหรือนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ให้ไปสู่กลุ่มผุ้ชมมากขึ้นเป็นทางเลือกที่ดี และเราเชื่อว่าการที่สามารถเข้าบริหารกิจการของ BAMTech ได้ก็จะช่วยให้เราเข้าถึงนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ที่จะเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างรวดเร็วและ ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่การทำงานรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราสามารถเข้าสู่ตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
แน่นอนว่าการก้าวกระโดดของดิสนีย์ เพื่อเข้ามาจัดการเชื่อมต่อคอนเทนต์กับผู้บริโภคโดยตรง น่าจะส่งผลต่อกิจการที่ถือครองลิขสิทธิ์การจัดจำหน่ายในรูปแบบสตรีมมิ่งต่อจากดิสนีย์อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องรอดูกันต่อไปว่า ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และซีรี่ย์ดังๆที่มีการแพร่กระจายผ่านทั้ง Netflix Hooq หรือบริการสตรีมมิ่งที่เกิดขึ้นมาอีกหลายรายก่อนหน้าจะตอบรับการเข้ามาทำเองของดิสนีย์อย่างไร
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อแพลตฟอร์มของ Bamtech สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทั่วโลก แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแบบอื่นก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ หากปริมาณหนังไม่มากพอที่จะดึงดูดผู้ชม
อนาคตของตลาดสตรีมมิ่งจึงอาจจะต้องวัดกันที่คุณภาพของเนื้อหา ว่าจะเป็นที่ต้องการของผู้คนมากน้อยเพียงใด ขณะที่การรวบรวมคอนเทนต์ให้อยู่ในแพลตฟอร์มเดียวก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่ค่ายหนังจะตอบรับการเชื่อมต่อเช่นนี้ คงต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว เจ้าของคอนเทนต์รายใหญ่ที่หันกลับมาทำเองจะเขย่าวงการสตรีมมิ่งกลับคืนมาจากผู้ให้บริการคอนเทนต์อิสระได้หรือไม่อย่างไร