ไอบีเอ็มชู วัตสัน คู่คลาวด์ ที่สุดแห่งการดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม

ไอบีเอ็มชู วัตสัน คู่คลาวด์ ที่สุดแห่งการดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม

ไอบีเอ็มจัดงานโชว์เทคโนโลยี วัตสัน ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ยกเป็นแพลตฟอร์มพร้อมใช้ที่ครอบคลุมการทำงานในทุกอุตสาหกรรม พร้อมควบรวมเทคโนโลยีล่าสุด บล็อกเชน เสริมการทำงานในอนาคต ชี้ชัดธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลแล้วกว่า 80% ด้วยคีย์สำคัญอยู่ที่การจัดการดาต้าและคลาวด์เป็นหลัก

พรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปีที่แล้วเป็นปีแห่งดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น โดยลูกค้าส่วนใหญ่ล้วนก้าวข้ามไปสู่ดิจิทัลแล้ว คาดว่าน่าจะราว80% ของธุรกิจในไทย ซึ่งที่ผ่านมามีการเดินสายพูดเรื่องของการก้าวผ่านอยู่ตลอดเวลา โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การจัดการดาต้า ทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลตลอดจนการรวบรวมข้อมูล และระบบคลาวด์เพื่อให้การทำงานสามารถรวมศูนย์ได้ง่ายขึ้น

ซึ่งตอนนี้เรามีเทคโนโลยีค็อกเนทีฟอย่าง ไอบีเอ็มวัตสัน มาทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ข้อมูลภายในองค์กรเท่านั้น โดยมีทั้งลูกค้ากลุ่มพลังงาน เฮลแคร์ การวิจัยยา การวิจัยมะเร็งผิวหนัง และยังไปเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีให้ประเทศอื่นๆอีกด้วย

ในด้านเฮลแคร์ วันนี้การถ่ายรูปมะเร็งผิวหนัง เพื่อวิเคราะห์อาการด้วยวัตสัน มีความแม่นยำกว่า 90% ซึ่งมากกว่าการวิเคราะห์อาการของผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่เพียงแค่ 60% เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับโซเชียลและการทำงานของโลกออนไลน์ อื่นๆ ยกตัวอย่างเช่นนอร์ทเฟส ผู้ผลิตสินค้าเครื่องแต่งกายแบบแอดเวนเจอร์ที่เริ่มทำ วัตสัน แอดไวเซอร์ เพื่อแนะนำสินค้าที่เหมาะสมต่อการใช้งานและช่วงเวลาให้กับลูกค้า โดยการทดสอบการเจรจาระหว่างซีอีโอของนอร์ทเฟส และวัตสันแอดไวเซอร์ เพื่อทดสอบการแนะนำ

โดยหลังตรวจสอบความต้องการกิจกรรมที่จะทำสถานที่และอื่นๆอีกมากมาย ระบบได้วิเคราะห์สภาพอากาศของสถานที่นั้น พร้อมวิเคราะห์สินค้าที่มีในแต่ละร้านจำหน่ายที่ใกล้ลูกค้าแล้วแนะนำสินค้าที่เหมาะสมได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งวัตสันได้เชื่อมโยงการทำงานของซัพพลายเชนทั้งหมดเข้าไว้ในระบบแบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลการทำงานของพนักงาน โดยตัวอย่างของการเก็บข้อมูลผ่านวัตสันและ ไอบีเอ็ม คลาวด์ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ด้านการทำงานของพนักงานเพื่อในอนาคตจะไม่เกิดปัญหาเมื่อพนักงานหลักเกิดลาป่วยหรือลาออก การทำงานของพนักงานใหม่จะสามารถเข้ามารับช่วงต่อได้ทันที

ปัจจุบันไอบีเอ็ม วัตสัน เข้าไปอยู่ในทุกอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เรามีพาร์ทเนอร์กว่า 500 ราย ใน 20 อุตสาหกรรม มีนักพัฒนากว่า 8.2 ล้านคนอยู่ในที่ต่างๆทั่วโลก โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถนำแพลตฟอร์มนี้เข้าให้บริการคนได้กว่า 1 พันล้านคน

ตลอด 7-8 เดือนที่ผ่านมา เราเห็นการเติบโตในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ลูกค้ากลางถึงเล็กมีการเติบโตอย่างเข้มแข็งระดับ 2 หลักขึ้นไป ขณะที่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการทำงาน แทบจะมีอัตราการเติบโตมากที่สุดในอาเซียน นอกจากนี้การเข้าไปมีส่วนร่วมของดิจิทัล ก็ยังมีอัตราการเติบโตสูงมาก

แน่นอนว่าการประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดก็เริ่มมีการใช้ไฮบริดคลาวด์เพื่อก้าวข้ามไปสู่ดิจิทัลอีกทั้งยังมีการใช้บล็อกเชนร่วมกับธนาคารกสิกรไทยเพื่อทำระบบLC (Letter of Credit) ให้กับลูกค้าธนาคารอีกด้วย

ในประเทศไทย เรายังมีการใช้วัตสันไอบีเอ็มแพลตฟอร์มเชื่อมต่อ เข้ากับโซเชียลเดต้าแพลตฟอร์มที่แรกของอาเซียน และเรายังเห็นพัฒนาการเพื่อก้าวเข้าสู่ดิจิทัลของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผสานระบบค็อกเนทีฟเข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีหลากหลายแหล่งที่มา

ซึ่งหัวใจสำคัญของการก้าวข้ามไปสู่ดิจิทัลขององค์กรนั้นคือการทำให้องค์กรธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจขององค์กรได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพของการเพิ่มแรงดึงดูดประสบการลูกค้า เพื่อให้ชนะใจลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเชื่อว่า วัตสัน คอกเนทีฟ เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างระบบเพื่อวิเคราะห์เช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้การสร้างประสบการณ์ที่ดีในรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิ้ลยู ด้วยวัตสันคอกเนทีฟ เพื่อช่วยเลือกเส้นทางและจัดการระบบที่เหมาะสมแบบสนทนาตอบโต้ก็เป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

เริ่มต้นที่ไอบีเอ็มสตูดิโอ โดยตอนนี้ตึกไอบีเอ็มย้ายไปอยู่ที่ อารีน่าดีไซต์เซ็นเตอร์ที่สิวคโปร์ โดยแบ่งเป็นส่วนต่างของการสร้างแต่ละโซลูชั่น ซึ่งการทำงานก็จะใช้การทำงานร่วมกับหลายๆฝ่าย โดยจุดแข็งของไอบีเอ็มคือการมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีในส่วนต่างๆมากที่สุดในโลก

ทำให้การเทรนไอบีเอ็มวัตสัน ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบเครื่องจักรเรียนรู้ที่ต้องการการเทรนนิ่ง แน่นอนว่าเมื่อเรามีผู้เชี่ยวชาญมากที่สุดในโลกก็จะสามารถสร้างการเรียนรู้ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ว่าผู้ที่สอนเครื่องจักรนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ไอบีเอ็มสตูดิโอ ที่มีอยู่ 42 แห่งทั่วโลก มีการทำงานร่วมกันแบบ co-create ไปทั่วโลก ตอนนี้เราเชื่อว่ามีแพลตฟอร์มที่ทรงพลังที่สุด ตั้งแต่เลเยอร์ที่เป็นระดับเครื่องมือในการทำ เดต้า และ saas ที่จะเข้ามาทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์ เชื่อว่าในช่วง 6-7 เดือนข้างหน้าลูกค้าอาจจะต้องเลือกแล้วว่าจะต้องใช้แพลตฟอร์มแบบไหน

เทคโนโลยีของเราพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบรับองค์กรโดยเฉพาะ จึงมั่นใจได้ว่าทั้งระบบมีความปลอดภัยในระดับเอนเตอร์ไพร์ซอย่างแน่นอน โดยทั้งหมดจะมีการสร้างรูปแบบเฉพาะและมีความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจของไอบีเอ็มในการสร้างความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีในส่วนของความปลอดภัยที่สอดแทรกไอบีเอ็มวัตสันเข้าไปตรวจสอบระบบ ซึ่งเชื่อว่าเราเป็นคลาวด์เอนเตอร์ไพร์ซที่มีมาตรฐานระดับสูง ปลอดภัยและไม่เหมือนใคร ด้วยการดึงระบบไอบีเอ็มวัตสัน เข้าไปตรวจสอบและแจ้งเตือนระบบที่มีความผิดปกติทั้งหมดได้อย่างชาญฉลาด

การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อควบรวมความสามารถทุกอย่าง ให้พร้อมสำหรับการนำไปใช้งานของไอบีเอ็มวัตสัน ช่วยให้สามารถสร้างแอปพลิเคชั่นที่ต้องการภายในระยะเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น

เราให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เป็นอย่างมาก แต่กระนั้นในเรื่องของการออกนอกกรอบของไอบีเอ็มวัตสัน เราเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น เราถึงตั้งชื่อว่าคอกเนทีฟ ซึ่งหมายถึงการสร้างระบบอัจฉริยะเพื่อสนับสนุนการทำงานของมนุษย์เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างองค์ความรู้ของการตัดสินใจที่ถูกต้องให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง แน่นอนว่าไอบีเอ็มวัตสันจะต้องอยู่ในกรอบของการเรียนรู้เท่านั้น เพื่อสร้างให้เป็นผู้ช่วยของการตัดสินใจ ด้วยการสอนจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มข้นของเรา

ดังนั้นกรอบการสร้างองค์ความรู้ ด้วยข้อมูลที่จะสร้างขึ้นเพื่อองค์กรจะต้องเป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อสร้างให้องค์กรนั้นๆโดยเฉพาะ และเราไม่เคยเคลมว่าไอบีเอ็มวัตสันเป็นเอไอ หรือแมทชีนเลิร์นนิ่งแบบอิสระ แต่เราเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “ค็อกเนทีฟ” ซึ่งหมายถึงสมองกลที่สามารถพัฒนาได้เพื่อรวบรวมความรู้ไปการสนับสนุนการตัดสินใจของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบการทำงานเพื่อสร้างให้เกิดความปลอดภัย ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเทรนให้ได้

Related Posts