การเปิดตัวของ LINE Mobile สร้างความตื่นเต้นให้วงการมือถือในเมืองไทยไม่น้อย เพราะด้วยแพ็คเกจที่ราคาถูกที่เริ่มต้นเพียง 125 บาท แต่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ 1.5 GB
และโทรออกได้ 100 นาที ก็ทำให้ทั้งคู่แข่งทางตรงและทางอ้อมหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน แม้จะเป็นโปรในช่วงลดราคา แต่ก็มีเวลาใช้ราคานี้ยาวถึง 1 ปี และที่สำคัญอยู่บนเครือข่ายที่ “ลื่น” อย่างดีแทค
แม้ในงานแถลงข่าวจะไม่ได้มีการระบุเรื่องสัดส่วนของรายได้ระหว่างกันของ ไลน์โมบาย และดีแทค หรือแม้แต่การบอกแผนธุรกิจ แต่ก็พอจะบอกได้ว่างานนี้ต้องเป็นความร่วมมือที่วินวิน
เพราะในส่วนของไลน์เองก็มีลูกค้าใช้งานประมาณ 33 ล้านคน ประกอบกับการใช้ซิมของ ไลน์โมบาย จะได้ใช้บริการต่างๆ ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าดาต้า จึงน่าจะมีการย้ายค่ายเข้ามาได้อย่างไม่ยากนัก ประกอบกับแพคเกจที่ดึงดูดจะทำให้ลูกค้าเข้าหา ไลน์โมบาย ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ส่วนดีแทคเอง งานนี้ต้องบอกเลยว่ามีแต่ได้กับได้ เพราะนอกจากจะเพิ่มยอดเบอร์เพิ่มแล้วยังจะได้รายได้จากการใช้งานเครือข่ายเพิ่มเข้าไปอีกทางหนึ่ง เนื่องจาก ไลน์โมบายไม่ได้เป็นธุรกิจแบบ MVNO (Mobile Virtual Network Operator) ที่ต้องขออนุญาตจากกสทช.ในการให้บริการ

แต่เป็นการให้บริการร่วมกันของทั้งไลน์โมบาย และ DTN หรือดีแทคไตรเน็ต ดังนั้นทุกเบอร์ที่เปิดใหม่ย่อมกลายเป็นยอดรวมซิมการ์ดของดีแทค ต่างจากกรณีของซิมเพนกวิน ที่เป็น MVNO เต็มตัว
“LINE Mobile บริหารโดยทีมเฉพาะกิจของ DTN ที่ให้บริการตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าโดยบริการด้านเสียงและดาต้าจะดำเนินการบนเครือข่าย DTN
แต่ได้รับอนุญาตจาก LINE ให้ใช้สิทธิ์เครื่องหมายการค้า LINE Mobile” ประโยคที่ย้ำอย่างชัดเจนของ นางสาวปวริศา ชุมวิกรานต์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาด ไลน์โมบายประเทศไทย ที่บอกซ้ำๆ ในงานเปิดตัว
ปวริศา กล่าวว่า ไลน์โมบาย เป็นบริการโทรศัพท์มือถือใหม่ในรูปแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ที่ผู้ใช้งานจะไม่ได้พบกับพนักงานที่นั่งอยู่ตามเคาท์เตอร์ แต่สามารถลากนิ้วและจิ้มไปมาตั้งแต่การเปิดเบอร์มือถือ การเลือกบริการ การชำระเงิน การเปลี่ยนแปลงแพ็คเกจ หรือแม้แต่การยกเลิกการใช้บริการ
ทั้งหมดนี้ผู้ใช้งานจะทำได้เองผ่านแอปพลิเคชันของไลน์โมบาย โดยจะไม่มีโอกาสได้สบตากับพนักงานเลย แต่ก็มีบริการหลังการขายทั้งช่องทางแชตได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือโทรสอบถามเจ้าหน้าที่บริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม
“สถิติการใช้งานโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยปัจจุบัน มีจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานโทรศัพท์มือถือ 90.94 ล้านเลขหมาย คิดเป็น 133% ของจำนวนประชากร แต่มีการใช้งานเป็นประจำอยู่ที่ 57.6 ล้านเลขหมาย หรือ 84% ของประชากร”
“ซึ่งในจำนวนนี้ 41 ล้านเลขหมายมีการใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง และใช้ในแต่ละวันประมาณ 4 ชั่วโมง 14 นาที ซึ่งไลน์โมบายจะสามารถเข้ามาตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี และจะขยายไปสู่กลุ่มที่ยังไม่ได้ใช้เพิ่มขึ้น ด้วยการใช้งานที่ง่ายกว่า”

ปวริศา กล่าวว่า สำหรับลูกค้าไลน์โมบาย จะได้ใช้การแชตที่คุ้นเคยอย่าง LINE Messenger รวมไปถึงรับชม LINE TV รวมไปถึงไลฟ์สดจาก LINE Today โดยไม่คิดดาต้าแพ็คเกจ
รวมไปถึงบริการอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าลูกค้าไลน์ที่ใช้งานอยู่แล้ว จะมีชีวิตที่ง่ายและคุ้มค่าขึ้นไปอีก
ด้านนางสาวอรุณรัตน์ แสงอลังการ ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์และปฏิบัติการทางธุรกิจไลน์โมบาย ประเทศไทย กล่าวว่าผู้ใช้ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อได้รับใบเรียกเก็บค่าบริการจะมีค่าบริการอื่นที่ไม่ได้ใช้พ่วงมาด้วย หรือถ้าจำเป็นต้องยกเลิกบริการก็สามารถทำได้ทันที
ทั้งยังสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงตรวจสอบการใช้งานของตนเองได้ทุกที่ๆ ต้องการ ซึ่งรวมถึงการให้ส่วนลด 50% 12 รอบบิล สำหรับผู้ใช้ที่สมัครใช้งานก่อน 1 พฤศจิกายน 2560 ที่จัดให้โดยไม่ติดพันธสัญญาใดๆ
“ไลน์โมบาย ตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขความคับข้องใจที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือต้องเจอกับการใช้งานโปรแบบเดิมๆ เรานำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาบริการโทรศัพท์มือถือแบบดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้”
“ด้วยหัวใจหลักสำคัญ 3 ประการ คือ การใช้งานที่เข้าใจง่าย ทำทุกอย่างได้สะดวกรวดเร็วในมือถือ โดยจะมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต”
มาถึงบรรทัดนี้ก็น่าจะพอจะเคลียร์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่าไลน์โมบาย เป็นบริการหนึ่งที่เป็นความร่วมมือของดีแทคและ LINE Mobile เท่านั้น
งานนี้ไลน์โมบายมีงบการตลาดเป็นของตัวเอง แต่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์กับดีแทค ไม่ได้ตั้งเป็นเป็นบริษัทหรือมีออฟฟิศที่ชัดเจน เพราะแม้แต่บิลค่าบริการก็จะออกในนามของดีแทคไตรเน็ต เช่นเดียวกับระบบหลังบ้านและอื่นๆ
แต่สิ่งที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนคือการสร้างรายได้ร่วมกัน และกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ให้ผู้บริโภคคนไทยได้เลือกว่าจะใช้หรือไม่ใช้
และแม้ว่า ไลน์โมบาย จะไม่ได้ตั้งเป้าว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้ใช้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ให้ความมั่นใจว่าด้วยเครือข่ายของดีแทคแล้วจะสามารถให้บริการได้ไม่ว่าจะมีเพิ่มจำนวนเท่าไร
ดังนั้นคนที่ยิ้มคือผู้บริโภคที่จะได้ใช้แพ็คเกจแบบราคาเบาๆ แต่สบายใจแล้ว คนที่นั่งยิ้มกว้างกว่าน่าจะเป็นดีแทค เพราะงานนี้ มีแต่ได้กับได้ ได้ก่อนแบบไม่ต้องรอว่าที่รอเซ็นสัญญาเช่าใช้บริการเครือข่ายเพิ่มเติมกับทีโอทีนั้นจะสำเร็จในเดือนไหน
เพราะถ้ากรณีนั้นเริ่มจรดปากกาอย่างจริงจังเมื่อไร วันนั้นดีแทคก็น่าจะยิ้มได้กว้างเข้าไปอีก เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงแบรนด์แฮปปี้ขึ้นมาเลย!!