ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เป็นคำเปรียบเทียบอุปมาอุปมัยที่ยังคงใช้ได้จริงในสังคมปัจจุบัน แต่สำหรับประชาชนของพระบาทสมเด็ จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แล้ว คำนี้คงใช้ไม่ได้ เพราะโครงการพระราชดำริ ฝนหลวง เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่ วนพระองค์
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกั นดาร 15 จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปี พ.ศ.2498 ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุ ปโภคบริโภค และการเกษตร
จากนั้นเป็นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้าและวิจั ยทางเอกสาร ถึง 14 ปี ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิ ทยาและการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู้ และเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่ างประเทศ ในการวิเคราะห์วิจัย
จนทรงมั่นพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้ น
และในปีถัดมาและทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิ ดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้ าให้เป็นไปได้
การทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้ าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้ งให้ หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ เลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็ นพื้นที่ทดลองเป็นแห่งแรก
ซึ่งหลังจากปฏิบัติการแล้วเสร็ จได้ทำการสำรวจทางภาคพื้นดิน และได้รับรายงานยืนยันด้ วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองวนอุ ทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นนิมิตหมายบ่งชี้ให้เห็ นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่ งที่เป็นไปได้ ประเทศไทยจึงได้ใช้ “ฝนหลวง”
นอกจากจะประสบความสำเร็จและช่วยเหลือเกษตรในครั้งต่อมาแล้ว ยังโปรดเกล้า ฯ ให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและเทคนิ คควบคู่กันไปด้วย ทรงสามารถพัฒนากรรมวิธี การทำฝนหลวงให้ก้าวหน้าขึ้นอี กระดับหนึ่ง
ด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงพัฒนาเทคนิคขึ้นมาเป็นนวั ตกรรมใหม่ล่าสุดว่า SUPER SANDWICH TECHNIC ทรงสรุปขั้ นตอนกรรมวิธีโดยทรงประดิษฐ์ขึ้ นเป็นแผนภาพการ์ตูนโดยคอมพิ วเตอร์ด้วยพระองค์เอง พระราชทานให้ใช้เป็น ตำราฝนหลวง เพื่อให้เป็นแบบอย่ างใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงให้ เป็นไปในทางเดียวกัน
ล่าสุด Thereporter.asia มีโอกาสได้ติดตามการดำเนิ นงานทำฝนหลวง กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เตรียมปฏิบัติการเติมน้ำให้เขื่ อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา เพิ่มอีก เนื่องจากยังคงมีปริมาณน้ำเก็ บกักน้อย ต่ำกว่า 30%
ทั้งนี้ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค และน้ำใช้การเพื่อการเกษตรในช่ วงฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่ าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในเขื่อนลำตะคอง ที่ยังมีปริมาณน้อยกว่าเขื่อนอื่ นๆ จึงมอบหมายให้กรมฝนหลวงและการบิ นเกษตร เร่งเติมน้ำในเขื่อนลำตะคองอย่ างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้เพี ยงพอในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง
ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวจะมี ความสอดคล้องกับแผนการส่งเสริ มการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง
ทั้งนี้ภาพรวมสถานการณ์น้ำในปี 2560 มีฝนตกมากกว่าปีก่อนๆ แต่ยังคงมีบางพื้นที่ยังมีปริ มาณฝนไม่มากนัก และมีเขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็ บกักในระดับที่น้อยมาก อย่างเช่นเขื่อนลำตะคอง
ซึ่งแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีฝนตกลงมาบ้าง แต่โดยรวมก็มีน้ำไหลเข้าเขื่ อนน้อยมาก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เตรียมความพร้อมด้ วยการให้ปรับแผนปฏิบัติ การฝนหลวงเร่งเติมน้ำในเขื่ อนลำตะคองเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภั ยแล้งเฉพาะพื้นที่ที่จะเกิดขึ้น
“ทุกวันนี้ต้นทุนค่าแรงสูง เราต้องหาวิธีการเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุน ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาดำเนิ นการตั้งแต่เริ่มต้นจนถึ งปลายทาง โดยกระทรวงเกษตรฯ เตรียมหาพื้นที่ทำเกษตรนำร่ องแบบ 4.0″

“โดยจะนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ ตั้งแต่เริ่มต้น เช่น การให้น้ำด้วยระบบอัตโนมัติ และสัมพันธ์กับสภาพอากาศ การใช้โดรน การใช้เครื่องมือพยากรณ์ เพื่อให้เห็นว่าการทำเกษตรด้ วยเทคโนโลยีจะช่วยให้ผลผลิตมี ประสิทธิภาพมากขึ้น”
นอกจากนี้ยังต้องทำความเข้าในกับเกษตรกรในพื้นที่ด้วยว่า ถ้ามีน้ำน้อยก็อาจจะไม่เพี ยงพอที่จะทำการเกษตรอย่างเต็มรู ปแบบ อาจจะต้องปรับเปลี่ยนการปลูกพื ชที่ใช้น้ำน้อย แบ่งเขตการปลูกชัดเจน หรือถ้าทำไม่ได้ก็ต้องสร้ างรายได้เสริมจ้างงาน เอาปศุสัตว์ไปช่วย
ทั้งนี้การสร้างความเข้าใจดั งกล่าวจะต้องจับมือกับผู้ว่ าราชการในการทำ เพราะถ้าให้กระทรวงเกษตรทำอย่ างเดียวอาจจะไม่สำเร็จ ไม่ได้รับความร่วมมือจากเกษตรกร
พลเอกฉัตรชัย กล่าวว่า เราต้องเข้าถึงเกษตรกร เพราะถ้าเราทำงานแบบบู รณาการจะช่วยให้เกษตรกรเดือดร้ อนน้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนพืชที่ปลูกพืชไม่ ได้ทำแค่ช่วงน้ำน้อย แต่ต้องทำเพื่อให้เกษตรกรอยู่ ได้ด้วย ต้นทุนที่พอดี ผลผลิตดี โดยต้องพยายามชี้ข้อดีให้เขาเห็ นเพราะเขาอาจจะไม่สนใจหากไม่มี แรงจูงใจที่ดีพอ
นอกจากนี้ในการทำเกษตรนำร่องแบบ 4.0 นั้น ในปี 61 จะเป็นเรื่องของการบริหารจั ดการให้เกษตรกรเป็นผู้ ประกอบการด้านการเกษตร ไม่ใช่เป็นแค่เกษตรกรที่แค่ปลู กแล้วขาย แต่ต้องคิดเรื่องต้นทุน กำไร และตลาดด้วย
สำหรับแนวทางในการดำเนินงานบริหารจัดการน้ำ กระทรวงเกษตรฯ ได้กำหนดนโยบายการดำเนินการช่ วยเหลือทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยมีเป้าหมายบริหารจัดการน้ำ ให้เพียงพอตามลำดับความเร่งด่ วนในการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศน์ การเกษตรต่อเนื่อง การเริ่มต้นเพาะปลูกในฤดูกาลหน้ า
โดยจะมีคณะอนุกรรมการติ ดตามและวิเคราะห์แนวโน้ มสถานการณ์น้ำ อาทิ กรมชลประทาน กรมฝนหลวงฯ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ผู้ใช้น้ำและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกันบริหารจั ดการ
ด้านสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า เขื่อนลำตะคอง เป็นหนึ่งในจำนวน 10 เขื่อน ที่มีความจำเป็นจะต้องเร่งปฏิบั ติการฝนหลวงเติมน้ำในเขื่อนเพิ่ มขึ้นอีก แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้ดำเนิ นการไปแล้ว แต่ปริมาณน้ำก็ยังไม่เพียงพอต่ อความต้องการ
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนื อและศูนย์ปฏิบัติการ ฝนหลวงภาคกลางร่วมกันดูแลในพื้ นที่และวางแผนปฏิบัติ การฝนหลวงอย่างเร่งด่วน เพื่อให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ การใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งที่กำลั งจะมาถึง
ทั้งนี้การทำฝนหลวงนั้ นจะทำฝนหลวงทำได้ภายในเดือนตุ ลาคมเท่านั้น เพราะฤดูหนาวมาก็ทำไม่ได้แล้ว ความชื้นสัมพัทธ์ไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องรีบทำให้ได้มากที่สุ ด เพื่อให้มีน้ำใช้ไปถึงเดือนมิถุ นายนปี 2561
ดังนั้นจึงต้องนำศาสตร์ พระราชามาใช้ วางแผนการจัดการน้ำให้ดี และต้องแก้ปัญหาระยะยาว ไม่เช่นนั้นก็จะมีผลกระทบเรื่ อยๆ
ขณะนี้จึงต้องเร่ งระดมสรรพกำลัง เติมเต็มน้ำในเขื่อน โดยเราจะเติมให้ได้ไม่น้อยกว่า 15 ล้าน.ลบ.ม เราก็ได้มีการบูรณาการใช้หน่ วยที่ลพบุรีและนครราชสีมามาช่ วยเพิ่มปริมาณน้ำ นำเมฆทุกก้อนที่ผ่านเขื่อนให้ กลายเป็นฝนหลวง โดยจะพิจารณาถึงความถี่ ในการดำเนินการให้มากขึ้น
“เรามีวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์คุยระหว่างส่วนกลางและในหน่วยที่ อยู่ เพื่อรายงานผลอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงรับฟังคำสั่งจากผู้บริ หารจากส่วนกลาง ทำการวิจัยสารฝนหลวงทางเลือก”
“ซึ่งขณะนี้เราใช้ความชื้นสัมพั ทธ์มากกว่า 60% ขึ้นไปจึงจะทำฝนหลวงได้ แต่หลังจากนี้ เราจะทดลองนำสารฝนหลวงมาผสมกั นเพื่อให้สามารถทำฝนหลวงได้ หากมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 60% เพื่อให้สามารถทำนอกฤดูฝนได้ โดยในเดือนพฤศจิกายนและธั นวาคมจะเริ่มทดลองใช้ ซึ่งอาจจะมีงานวิจัยเพิ่มเติมต่ อยอดอีก”
สำหรับการทำฝนหลวงหลังเดือนตุ ลาคมนั้นทางกรมจะมีหน่วยเคลื่ อนที่เร็วเพื่ อตรวจสอบสภาพอากาศว่าพร้อมที่ จะทำฝนหลวงช่วงไหน และในปี 2561 ปฏิบัติการศูนย์เพิ่มอีก 2 ศูนย์คือพิษณุโลกและบุรีรัมย์ คาดว่าสิ้นปีหน้าอาคารจะเสร็จ ตอนนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่ ไปประจำชั่วคราว
อธิบดีกรมฝนหลวงฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีโครงการนำน้ำ จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มาพักไว้ที่มวกเหล็กก่อน แล้วค่อยใช้เครื่องสูบน้ำสูบเข้ ามาที่เขื่อนลำตะคอง โดยกระทรวงเกษตรฯ กำลังให้กรมชลประทานศึกษาซึ่ งคาดว่าจะทำได้ต้องใช้ กระบวนการใน 2 ปี แต่ก็ขอให้เร่งดำเนินการ คาดว่าใช้งบทั้งสิ้น 3,900 ล้านบาท
สถานการณ์น้ำในเขื่อนลำตะคอง ณ วันที่ 20 กันยายน 2560 มีน้ำ 111 ล้าน ลบ.ม. เป็นน้ำใช้การได้ 88 ล้าน ลบ.ม. โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง มีพื้นที่ชลประทานที่ต้องดูแล จำนวน 154,195 ไร่ มีการเพาะปลูกรวม 120,599 ไร่ ซึ่งจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จในต้ นเดือนธันวาคม 2560 คาดว่า ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เขื่อนลำตะคองจะมีน้ำใช้การได้ 114 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งน้อยกว่าเขื่อนอื่นๆ
สำหรับผลการปฏิบัติ การฝนหลวงประจำปี 2560 กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเริ่ มปฏิบัติการฝนหลวงตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม ถึง 18 กันยายน 2560 มีการขึ้นบินปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 182 วันมีฝนตกจากการปฏิบัติ การฝนหลวงคิดเป็น ร้อยละ 97.2 ปฏิบัติการฝนหลวงจำนวน 3,049 เที่ยวบิน (4,412:32 ชั่วโมงบิน) มีรายงานฝนตกรวม 56 จังหวัด
ส่วนการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่ อเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่ อนลำตะคองที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม – 18 กันยายน 2560 กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ลุ่ มรับน้ำเขื่อนลำตะคองไปแล้วทั้ งสิ้นจำนวน 102 วัน
มีฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวงคิดเป็นร้อยละ 93 จำนวน 331 เที่ยวบิน จำนวนสารฝนหลวง แต่ยังมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่ อนที่ไม่เพียงพอต่อการใช้ในฤดู แล้ง
ทั้งนี้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ดำเนินการปฏิบัติ การฝนหลวงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำกั กเก็บให้กับเขื่อนต่างๆ ทั่วประเทศจำนวน 10 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนคลองสียัด เขื่อนพระปรง เขื่อนแก่งกระจาน เขื่อนปราณบุรี และเขื่อนลำตะคอง
“ฝนหลวง” นับเป็นศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ยังคงนำมาเป็นแนวในการปฏิบั ติได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อยอดเพื่อให้เกิ ดประสิทธิภาพสูงสุดได้อีก
และถือเป็นแนวทางการพัฒนาด้ านการเกษตรที่สามารถนำเทคโนโลยี เข้ามาผสมผสานต่อยอดได้ไม่มีที่ สิ้นสุด ขอเพียงแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้ องร่วมกันทำหน้าที่อย่างเต็ มความสามารถด้วยความสุจริต จริงจังและตั้งใจก็พอ