กสิกรไทย ประกาศใช้บล็อกเชน รุกธุรกิจดิจิทัล ปี 61 อัดงบไอทีปีละ 5 พันล้าน

กสิกรไทย ประกาศใช้บล็อกเชน รุกธุรกิจดิจิทัล ปี 61 อัดงบไอทีปีละ 5 พันล้าน
การลงทุนด้านไอทีอย่างต่อเนื่องของธนาคาร กสิกรไทย กำลังจะกลายเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจในอนาคต ที่มีการประเมินไว้ว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชนจะทำให้ธุรกิจธนาคารต้องปรับตัวเพื่อสร้างความได้เปรียบ
ดังนั้นเราจึงเริ่มได้เห็นกสิกรไทยหันมาใช้เทคโนโลยีนี้ในธุรกิจต่างๆ มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลงทุนระบบไอทีหลังบ้านจนพร้อมแล้ว และยังเดินหน้าลงทุนด้านไอทีอย่างต่อเนื่องอีกปีละประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท
ด้วยวิสัยทัศน์ที่กสิกรไทยมองว่าเทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาบริการยุคใหม่ “กสิกรบิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป”หรือ เคบีทีจี จึงกลายเป็นหน่วยงานหลักในการร่วมกับธนาคารพัฒนาบริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ประทับใจและมีชีวิตที่ดีขึ้นตามกลยุทธ์ Customer-Centric Technology for Better Life
โดยได้กำหนดกลยุทธ์การให้บริการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.ให้บริการมากกว่าความเป็นธนาคาร 2.ลูกค้าไว้วางใจ และ 3. ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมทุกที่ทุกเวลา
โดยเมื่อหันมองบริการด้านดิจิทัลที่ให้บริการไปแล้วอย่าง เค พลัส (K PLUS) แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นและคาดว่าในปี 2560 จะมีผู้ใช้งานที่ 8 ล้านราย ส่วนในปี 2561 จะเพิ่มผู้ใช้งานเป็น 10.8 ล้านราย
เค พลัส ช็อป (K PLUS SHOP) แอปพลิเคชันสำหรับร้านค้า เพื่อรับชำระด้วยคิวอาร์โค้ดมาตรฐานที่คาดว่าในปี 2560 นี้จะมีร้านค้าใช้งาน 200,000 ร้าน ส่วนในปี 2561 จะเพิ่มเป็น 1,000,000 ร้าน
และ เค พลัส เอสเอ็มอี (K PLUS SME) แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี ที่คาดว่าในปี 2560 นี้จะมีผู้ใช้งานที่ 420,000 ราย และในปี 2561 จะเพิ่มเป็น 500,000 ราย
ปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับการลงทุนด้านไอทีในปี ในปี 2561 ที่จะใช้งบประมาณพัฒนาด้านไอทีปีละประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทนั้น ประกอบด้วย การพลิกโฉม K PLUS จากโมบายแบงกิ้งสู่การเป็น Lifestyle Platform Banking ที่จะตอบสนองการใช้งานของลูกค้า ทุกกลุ่ม
ทำให้บริการผ่านแอปพลิเคชันกลุ่ม K PLUS มีมิติบริการที่ครอบคลุมหลากหลาย เช่น เมนูพรวนฝันที่นำเสนอรายการสินค้าเพื่อตอบสนองการใช้งานช้อปปิ้งออนไลน์ ที่จะเริ่มใช้งานในปี 2561 คาดว่ามีสินค้าประมาณ 50,000 รายการ
แมชชีน คอมเมิร์ช (Machine Commerce) เป็นการนำเทคโนโลยี Machine Learning มาวิเคราะห์และพัฒนาแนวทางการนำเสนอบริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย รวมทั้งการให้ข้อมูลการตลาดแบบเ จาะจงเป้าหมายผ่านเมนู Mobile Life PLUS บน K PLUS
เมนูโอนเงินข้ามประเทศผ่าน K PLUS (Low-Value Remittance) ในปี 2561 จะเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าธนาคารของไทย สามารถทำรายการโอนเงินไปต่างประเทศด้วยตัวเอง ทางสมาร์ทโฟนผ่าน K PLUS ไปยังผู้รับเงินปลายทางกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ในจีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และกลุ่มสหภาพยุโรป เป็นการเปิดมิติใหม่ของการโอนเงินรายย่อยไปต่างประเทศ
การเสนอสินเชื่อด้วยแมชชีนเลนดิ้ง (Machine Lending) เป็นการนำเทคโนโลยี Machine Learning มาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้า เพื่อประเมินความเสี่ยงและคาดการณ์ความต้องการวงเงินสินเชื่อ และนำเสนอให้แก่ลูกค้าก่อนที่ลูกค้าจะขอ ทั้งในกลุ่มลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจ
การวางหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชน (Enterprise Letter of Guarantee on Blockchain) ที่ธนาคารกสิกรไทยพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งในปี 2561 จะมีการขยายฐานลูกค้าผู้ใช้งานเพิ่มอีก 7-10 บริษัท และคาดว่าจะมีสถาบันการเงินเข้ามาเชื่อมต่อระบบอีก 4-5 แห่ง
บริการหักบัญชีและชำระดุลระบบสากล (Clearing and Settlement) ผ่านบล็อกเชน ธนาคารกสิกรไทย เป็นหนึ่งในธนาคารแรกๆ จากหลายประเทศทั่วโลกที่ได้ร่วมกับไอบีเอ็มพัฒนาบริการ เพื่อให้ธุรกิจทั่วโลกสามารถทำสัญญาและโอนเงินระหว่างประเทศได้ รวดเร็วเกือบเรียลไทม์ ช่วยให้ทราบสถานะธุรกรรมหักบัญชี และสามารถชำระดุลจากการแลกเปลี่ ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางได้
พิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป คนไทยใช้ชีวิตและทำธุรกรรมการเงินบนโลกออนไลน์มากขึ้น โดยพฤติกรรมการใช้ Mobile Banking เพิ่มขึ้น จากสัดส่วนจำนวนบัญชี Mobile Banking ต่อประชากรที่ 0.9% ในปี 2553 เป็น 34.8% ในปี 2559 เช่นเดียวกับผู้ใช้ e-Money, Internet Banking และบัตรอิเล็คทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสะท้อนว่าธุรกรรมบนออนไลน์มีความสำคัญอย่างมาก
สอดคล้องกับแนวนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการเกิดสังคมไร้เงินสด และยุทธศาสตร์ 5 ปีของสมาคมธนาคารไทยที่ต้องการผลักดันบริการด้านการเงินดิจิทัล เพื่อลดต้นทุนการจัดการเงินสดในระบบและประเทศ นำไปสู่การพัฒนาบริการใหม่
อาทิ การขยายบัตรเดบิตชิปการ์ด การขยายร้านค้ารับบัตรด้วยเครื่องอีดีซี บริการพร้อมเพย์ การชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ดมาตร ฐาน ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมลูกค้าและมีการพัฒนาบริการใหม่ให้เข้าสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น
“นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการแข่งขันจากผู้ให้บริการรายใหม่และข้ามอุตสาหกรรมที่ทำให้กสิกรไทยต้องสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ควบคู่กับการสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ผ่านการใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนอ งและต่อยอดความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด และปลอดภัยที่สุด”
พิพิธ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กสิกรไทยมีการสร้างพันธมิตรในระบบนิเวศดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือจากการตั้งทีมงาน Digital Partnership ภายในธนาคารและกลุ่มบริษัท KBTG เองแล้ว ยังมีบริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด ทำหน้าที่เข้าไปลงทุนในสตาร์ทอัพ เพื่อหานวัตกรรมที่เหมาะสมมาต่อยอดการให้บริการ ด้วยวงเงินลงทุนเริ่มต้น 1,000 ล้านบาท
โดยปี 2560 ได้ลงทุนไปแล้ว 250 ล้านบาท เป็นการลงทุนตรงในธุรกิจสตาร์ทอัพ 2 ราย และลงทุนผ่าน VC Fund 2 กองทุน สำหรับปี 2561 บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล ตั้งเป้าวงเงินลงทุนเพิ่มประมาณ 200-300 ล้านบาท เน้นกลุ่มสตาร์ทอัพที่มุ่งเสริมศักยภาพของผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร ซึ่งจะรวมถึงเทคโนโลยี AI และ Blockchain ประมาณ 4 ราย และการลงทุนผ่าน VC Fund จำนวน 1 กองทุน
ขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่นี้กสิกรไทยได้กำหนดแผนการดำเนินงานที่จะนำเสนอโซลูชันในระดับบุคคลที่ดีที่สุด เพื่อรักษาการเป็นธนาคารหลักอันดับ 1 ในลูกค้าบุคคล ตั้งเป้าหมายสินเชื่อลูกค้ารายย่อยขยายตัว 5-7% ฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 15.1 ล้านราย และขยายฐานลูกค้า K PLUS อีก 34-35% เป็น 10.8 ล้านราย
ธุรกิจกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ มุ่งเน้นเป็นธนาคารเพื่อลูกค้าเอสเอ็มอี ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งเป้าหมายสินเชื่อลูกค้าเอส เอ็มอีเติบโต 4-6% รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 2-4% ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในแง่มูล ค่าสินเชื่อที่ 28.5%
ธุรกิจกลุ่มลูกค้าบรรษัท มุ่งเป็นธนาคารที่ลูกค้าเชื่อมั่น ตอบโจทย์ความต้องการรอบด้านของลูกค้าธุรกิจ (Trusted Bank for Corporate Customers) โดยตั้งเป้าหมายสินเชื่อธุรกิจลูกค้าบรรษัทเติบโต 6-8% รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโต 2-5% ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสินเชื่อ ที่ 22%
ด้านธุรกิจข้ามประเทศ ยังคงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็น ธนาคารแห่งภูมิภาค AEC+3 ผ่านกลยุทธ์การขยายธุรกิจสู่ภูมิ ภาค “Dual Track Regional Digital Expansion” ดำเนินเป็น 2 แทร็คคู่ขนาน คือ การขยายธุรกิจธนาคารทั่วไป ด้วยการขยายเครือข่ายและยกระดับการให้บริการในแต่ละประเทศ หาแนวทางเปิดสาขาในเวียดนามและเมียนมาภายในปี 2561-2562
และการขยายธุรกิจธนาคารดิจิทัล (Digital Expansion) พัฒนาระบบชำระเงินและรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำความรู้และประสบการณ์ในประเทศไทยไปใช้ในภูมิภาค ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูง โดยในปี 2561 ในกลุ่มประเทศ CLMVI คาดว่าจะมีการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เติบโตกว่า 20% การเป็นศูนย์กลางการชำระเงินในภูมิภาค (Regional Settlement Hub)
โดยการเปิดให้บริการโอนเงินทุกสกุลเงินท้องถิ่นใน AEC+3 (Exotic Currency Settlement Initiative) เป็นธนาคารแห่งแรกในไทย ลูกค้าที่ทำการค้ากับต่างประเทศ ในภูมิภาคไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินผ่านหลายสกุล
ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2560 มียอดการโอนเงินกว่า 16,000 ล้านบาท และเตรียมเชื่อมโยงบริการการชำระเงินของเครือข่ายธนาคารในภูมิภาคเข้าด้วยกัน โดยธนาคารกสิกรไทยในไทยเป็นศูนย์กลางรับคำสั่งเพื่อชำระเงินต่อไปยังปลายทางในภูมิภาค
ทั้งนี้ ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายภาพรวมการดำเนินงานในปี 2561 อัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth) 5-7% อัตราการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-Interest Income Growth) อยู่ในระดับทรงตัว มีอัตราส่วนผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) 3.2-3.4% และอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL Ratio (Gross)) 3.3-3.4%

Related Posts