MG ZS ไม่ใช่ได้อัดแค่ของไฮเทค แต่อยากให้คนขับเก๋งได้ลองของสูง

MG ZS ไม่ใช่ได้อัดแค่ของไฮเทค แต่อยากให้คนขับเก๋งได้ลองของสูง

การเปิดตัว ‘MG ZS’ สร้างความสนใจให้กับวงการรถยนต์เมืองไทยเป็นอย่างมาก เพราะการอัดอุปกรณ์ไฮเทคที่ให้กันมาแบบเต็มที่ รวมไปถึงออปชันอื่นที่เราจะไม่เคยได้พบเห็นได้เลยในรถยนต์ราคาแบบนี้ โดยเฉพาะในแบรนด์เจ้าตลาด แต่ที่เด่นที่สุดคือใช้ภาษาไทยในการสั่งการฟังก์ชันต่างๆ

ซึ่งน่าจะถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของไทยในการใช้เสียงสั่งการ เพราะแม้จะมีระบบลักษณะนี้มานานแล้ว แต่ส่วนใหญ่ล้วนต้องใช้ภาษาอังกฤษทั้งสิ้น

MG ZS เปิดราคาเริ่มต้นเพียง 679,000 บาท ซึ่ง พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า การทำเอสยูวีในราคานี้ต้องการที่จะดึงกลุ่มผู้ใช้งานรถยนต์ซีดานให้หันมามองด้วย เพราะมีความเป็นรถอเนกประสงค์มากกว่า ในขณะที่ราคาใกล้เคียงกัน

ส่วนในรุ่นท็อปนั้นเพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาด B-SUVได้ จึงต้องใส่ออปชันแบบเต็มที่

MG ZS

เป้าหมายหลักของ MG ZS ใหม่ คือการนำเสนอ “สมาร์ทคาร์” หรือ “รถยนต์อัจฉริยะ” รุ่นแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะใหม่ล่าสุด i-SMART ไว้ในรถยนต์ MG ZS ใหม่

ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ขับที่จะสามารถควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในรถยนต์ โดยสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยซึ่งรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ตอบสนองการใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัด

“เอ็มจี ZS มีความสามารถการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ตอบโจทย์คนไทยที่คุ้นเคยกับสมาร์ทโฟน และจะกลายเป็นมาตรฐานรถยนต์ของเอ็มจีในรุ่นต่อๆ ไป ที่จะใส่ฟังก์ชันการใช้งานในลักษณะของสมาร์ทคาร์มาให้ โดยเอ็มจีคาดว่าตั้งเป้ายอดขาย เอ็มจี ZS ไว้ที่ 12,000 คันต่อปี ซึ่งการจำนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดเมืองไทยนั้นจำเป็นต้องเน้นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และความคุ้มค่า”

พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับระบบอัจฉริยะ i-SMART ที่ติดตั้งใน เอ็มจี ZS ใหม่นั้น สามารถควบคุมสั่งการได้ 3 วิธีคือ สั่งการผ่านระบบ Voice Command ภาษาไทย สั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ และสั่งการผ่านไอสมาร์ทแอพพลิเคชั่น (i-SMART Application) จากสมาร์ทโฟน

MG ZS

โดยผู้ขับขี่สามารถเปิดระบบปรับอากาศผ่านแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน ค้นหาจุดหมายต่างๆ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือร้านอาหาร ด้วยสมาร์ทเนวิเกเตอร์ รวมถึงตรวจสอบสภาพการจราจรได้แบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ ระบบยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่ และพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artifi-cial Intelligence) สอดคล้องกับยุคอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง หรือ IoT (Internet of Things) รวมถึงรวบรวมข้อมูลสำคัญ และแจ้งต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา

อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรกผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถอันผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม จึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นไปอีก

“ภายในสิ้นปีนี้เอ็มจีจะมีศูนย์บริการรวม 80 แห่งทั่วประเทศ ส่วนปีหน้าจะขยายเป็น 100 โชว์รูม นอกจากนี้เอ็มจียังได้ทำการเปิดโรงงานใหม่ ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50,000 แต่ปี แต่หลังจากเปิดโรงงานใหม่ก็จะผลิตได้มากกว่า 1 แสนคัน

ส่วนเป้าหมายในการขายนั้นในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายได้ให้ได้มากกว่าเท่าตัวหรือ 16,000 คัน จากปีที่ผ่านมาที่ขายได้ 8,000 คัน จากตลาดรวมทั้งปีน่าจะมียอดขายอยู่ที่ 850,000 คัน”

พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับในปีหน้านั้นเอ็มจีได้ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 2 รุ่น ปัจจุบันเอ็มจี 3 เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด คือมียอดขายกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมด ส่วนในปีหน้า เอ็มจี ZS จะกลายเป็นรุ่นที่เอ็มจีให้ความสำคัญมากที่สุด ที่เอ็มจีจะใช้ในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้น

MG ZS

ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้านั้นเอ็มจีมองว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะต่อยอดไปถึงรถไร้คนขับ แต่การจะมาขายต้องขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การแข่งขันในตลาด และต้นทุนทางการตลาด แต่เอ็มจีก็มีผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการในตลาดนี้อยู่แล้ว

ทั้งนี้สำหรับลูกค้าของ เอ็มจี ZS จะได้รับแพ็คเกจใช้งานระบบอัจฉริยะ i-SMART ฟรี เป็นระยะเวลา 5 ปีระยะเวลารับประกันสูงสุด 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (ROADSIDE ASSISTANCE) รถบริการตรวจเช็คเคลื่อนที่ (Mobile Services) และ CALL CENTER 24 ชั่วโมง รวมไปถึง บริการรถสำรองใช้ระหว่างรอซ่อมในกรณีลูกค้านำรถเข้าศูนย์บริการนานเกิน 4 วัน

Related Posts