เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ คอร์ปอร์เรชั่น ชี้ไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน เพราะกำลังก้าวจากประเทศอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน สู่การเป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ต้องเร่งปรับตัวนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น
เพราะในปี 2040 ไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ เผยเตรียมนำ 6 โซลูชันมาตอบสนองลูกค้าให้สามารถ Digital Transformation ได้เต็มรูปแบบ พร้อมนำเทคโนโลยี AI ที่รองรับภาษาไทยมาเจาะตลาด
นายมานาบุ คาฮาระ ประธานบริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านไอซีทีโซลูชั่นและการสื่อสารระหว่างประเทศ ในกลุ่มบริษัท เอ็นทีที กรุ๊ป (TYO: 9432) กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจของไทยยังถือเป็นประเทศที่น่าลงทุน
เพราะกำลังก้าวจากประเทศอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน สู่การเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดำเนินธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันไทยก็กำลังมุ่งเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในปี 2040 นั้นจะเหลือวัยทำงานที่อายุ 15-59 ปีเพียงแค่ 35.1 ล้านคนเท่านั้น
ดังนั้นสิ่งที่ต้องเร่งทำในตอนนี้คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ประชากรแต่ละคนสามารถทำงานได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ออกมาสู่ตลาด โดยเฉพาะการทำ Digital Transformation ซึ่งองค์กรธุรกิจสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผ่านบริการเอาท์ซอร์ส
เพราะวิธีการเอาท์ซอร์สจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีและข้อมูลต่างๆ มาช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว รวมถึงไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านไอทีจำนวนเงินมากๆ
“ในปีหน้าเอ็นทีทีจะนำเสนอเทคโนโลยี AI ที่เอ็นทีทีจะให้บริการจาก AI พนักงานต้อนรับ หรือ AI Reception ที่รองรับการทำงานทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และญี่ปุ่น เพื่อโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำด้วยการนำ Machine Learning และ Deep Learning มาใช้วิเคราะห์ทั้งข้อความแชทและเสียงสนทนา รวมถึงมีระบบ Face Recognition สำหรับจดจำใบหน้าของลูกค้าได้ด้วย”
ด้านนายมาซาโตชิ ซึโบอิ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการด้านผลิตภัณฑ์และบริการ และศูนย์ข้อมูล เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับธุรกิจของเอ็นทีทีในปี 2018 นันจะเริ่มขยายอีโคซิสเต็มส์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ พร้อมกับนำเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ๆ นำเสนอสู่ตลาด
โดยแบ่งกลยุทธ์การให้บริการออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1. กลุ่มบริการบนระบบเชื่อมต่อและโซลูชัน หรือ Overlay Services เช่น Cloud, SD-WAN, UCaaS และ AI เป็นต้น 2. บริการบนโครงสร้างพื้นฐานไอซีที หรือ ICT Infrastructure Services เช่น Data Center, ISP, International Network ฯลฯ
โดยโซลูชันทางธุรกิจที่เอ็นทีทีจะนำเสนอ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ 1.บริการ Data Center และ Disaster Recovery (DR) เพื่อบริหารจัดการลดความเสี่ยงการจัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กรธุรกิจ 2.บริการ Hybrid Cloud ผสมผสานการทำงานร่วมกันระหว่าง Public Cloud และ Private Cloud เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสำหรับองค์กร
3.บริการ Security ด้วยการบริหารจัดการด้านระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้สามารถปกป้องระบบและข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
4.SAP บริการ Cloud สำหรับระบบ ERP และ BI ให้แก่เหล่าธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีของ SAP เป็นหลัก 5.3D VDI ให้บริการ 3D CAD ผ่าน VDI บน Private Cloud ให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตสามารถทำการออกแบบได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง และเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา และ 6.บริการ Workstyle Renovation เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการใช้ระบบสื่อสารของเอ็นทีที
ทั้งนี้ เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ ได้ขยายศูนย์ข้อมูล หรือ Data Center และบริการคลาวด์เชื่อมธุรกิจใน 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการ Data Center Bangkok 1 และData Center Bangkok 2 หรือ Nexcenter
โดยครอบคลุมทั้งประเทศเมียนมาร์, กัมพูชา และลาว ซึ่งปัจจุบันเอ็นทีทีให้บริการดูแลลูกค้ากว่า 1,000 ราย ให้บริการเครือข่ายด้วยการเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 การเชื่อมต่อ และให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ รวมกันมากกว่า 500 แร็ค และเชื่อมต่อระบบให้เกิดภาพของ Hybrid Cloud, Private Cloud และ Public Cloud ได้ตามต้องการ