บีเอ็มดับเบิลยูเผยยอดขายปลั๊กอินไฮบริดในไทยในปีที่ผ่านมาโตถึง 269%

บีเอ็มดับเบิลยูเผยยอดขายปลั๊กอินไฮบริดในไทยในปีที่ผ่านมาโตถึง 269%

ยอดขายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในปี 2560 ที่ผ่านมารวม 3 แบรนด์ ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยูมอเตอร์ราดสร้างอัตราการเติบโตถึง 39% ถือเป็นครั้งแรกที่สร้างสถิติยอดขายรวมต่อปีด้วยตัวเลขหลัก 10,000 คัน

แต่หากนับเฉพาะตัวเลของบีเอ็มดับเบิลยูแบรนด์เดียวแล้วมีอัตราการเติบโตถึง 43% และที่สำคัญเซกเมนต์ของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดยังมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 269%

สำหรับยอดขายในตลาดโลกในปีที่ผ่านมาบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป สามารถสร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์-รอยซ์ทั่วโลกสูงสุดกว่า 2,463,526 คัน หรือโตขึ้น 4.1% แบ่งเป็นโดยทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูกว่า 2,088,283 คันเติบโตขึ้นถึง 4.2% ปีต่อปี รถยนต์มินิ สูงกว่า 371,881 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่ 3.2%

ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สร้างสถิติยอดขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ให้แก่ลูกค้ารวม 164,153 คันทั่วโลกในปี 2560 สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 13.2%

นายสเตฟาน ทอยเชอร์ต ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ เป็นประวัติการณ์กว่า 11,030 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 39% และสามารรถสร้างสถิติอัตราการเติบโต 43% สูงที่สุดในเครือข่ายบีเอ็มดับเบิลยูทั่วโลก

โดยที่น่าจับตามองคือในเซกเมนต์ของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดยังมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 269% ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทย ยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคตอันใกล้นี้ สอดคล้องกับยอดขายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มียอดการส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูลบีเอ็มดับเบิลยู i และ บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance กว่า 100,000 คันทั่วโลก

ทั้งนี้ในปีในปี 2560 บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย มีการส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยจำนวนทั้งหมด 10,020 คัน เติบโต 43% จากปีก่อนหน้า ส่วนในขณะเดียวกัน ยอดขายของมินิ ประเทศไทย ก็เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกันเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนการส่งมอบรถยนต์รวม 1,010 คันในปี 2560 เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้า

และสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ก็ยังคงรักษาระดับความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเลขการเติบโตต่อปีในระดับสองหลักถึงหกปีซ้อน กับยอดส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ถึง 2,001 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่ 10%

เช่นเดียวกับที่ยอดขายในเดือนธันวาคมของทั้ง 3 แบรนด์นับว่าเป็นการสร้างสถิติตัวเลขยอดขายสูงสุดสำหรับเดือนธันวาคมเท่าที่เคยมีมา มีการส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูให้แก่ลูกค้าถึง 1,422 คัน ส่งมอบรถยนต์มินิให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยรวม 168 คัน และยอดการส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ กว่า 300 คันในเดือนเดียวกัน

นายสเตฟาน กล่าวว่า ทั้งนี้ความสำเร็จดังกล่าวนอกเหนือไปจากเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยผลักดันอย่าง การบริการหลังการขายรูปแบบใหม่ในปี 2560 ที่ผ่านมา ด้วยการปรับโฉมโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) และ MINI Service Inclusive (MSI)

ซึ่งมาพร้อมตัวเลือกแพ็คแกจการบริการและการรับประกันรูปแบบใหม่ ที่ผ่านการคัดสรรให้เหมาะสมกับความต้องการในการขับขี่อันเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโปรแกรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “The Ultimate JOY Experience” นำเสนอที่สุดของประสบการณ์ ครบครันทั้งกิจกรรมไลฟ์สไตล์ด้านยนตรกรรมและกีฬา พาลูกค้าสู่จุดหมายอันสุดตระการตาทั่วโลก

ไม่ว่าจะเป็นการพาเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูบินลัดฟ้าไปสัมผัสกับประสบการณ์การขับรถบนพื้นผิวหิมะและน้ำแข็งบนยอดเขาในประเทศนิวซีแลนด์ หรือการเข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับโลกในกิจกรรม BMW Berlin Marathon

“การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในปี 2560 เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งการปรับโฉมและการเปิดตัวรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ๆ การขยายทางเลือกด้านบริการหลังการขาย และการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า

จนสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคใหม่ได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายที่ครอบคลุมหลากหลายพื้นที่มากขึ้นทั่วประเทศไทย และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอิน ไฮบริด ที่ที่บีเอ็มดับเบิลยูได้ร่วมมือกับ ChargeNow เครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก”

ด้านนายบียอร์น แอนทอนส์สัน ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย กล่าวว่า ในส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส นั้นนับว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน โดยหลังจากที่บริษัทได้ทำการเปิดตัว BMW FREEDOM CHOICE ผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ที่มอบอิสระในการขับขี่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูด้วยทางเลือกหลากหลาย

ทั้งการรับประกันมูลค่ารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในอนาคต รวมทั้งให้ความยืดหยุ่นเมื่อถึงวันสิ้นสุดสัญญาไม่ว่าจะเลือกเป็นเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันเดิมหรือเปลี่ยนเป็นคันใหม่ ทำให้มียอดสัญญาเช่าซื้อรวมเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 4.04 หมื่นล้านบาท

“การทำงานประสานกันอย่างแข็งแกร่งของทุกฝ่ายภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย และเครือข่ายผู้ให้จำหน่ายของเรา ช่วยให้เราสามารถสร้างสถิติใหม่ได้อีกครั้งในปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังเดินหน้าสร้างโอกาสในการเข้าถึงน้ำสะอาดให้กับผู้ยากไร้ในหลายพื้นที่ ผ่านทางโครงการ แคร์ ฟอร์ วอเตอร์ (Care4Water) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเป็นทางการ และ Waves 4 Water องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรจากสหรัฐอเมริกา

เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมสุขภาพที่ดี และลดปัญหาด้านสุขลักษณะ ผ่านทางการมอบอุปกรณ์และทักษะที่เอื้อต่อการเข้าถึงน้ำสะอาดในชุมชนที่ขาดแคลน รวมถึงได้ถ่ายทอดความรู้ด้านคุณประโยชน์ของน้ำที่สะอาด วิธีการติดตั้ง และดูแลระบบกรองน้ำ เพื่อใช้ชาวบ้านสามารถนำไปต่อยอดได้ด้วยตนเอง

ในปี 2560 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ส่งมอบเครื่องกรองน้ำจำนวน 3,434 เครื่อง และแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้แก่ 38 ชุมชนทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ แคร์ ฟอร์ วอเตอร์ โดยเครื่องกรองน้ำหนึ่งเครื่องสามารถผลิตน้ำสะอาดสำหรับชาวบ้าน 100 คนได้ในแต่ละวัน

หรือเท่ากับว่าปัจจุบัน บริษัทได้ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงน้ำสะอาดให้กับชาวไทยแล้วกว่า 343,400 คน ยิ่งไปกว่านั้น ทีมงานและอาสาสมัครจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังมีการติดตามผลเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกของชุมชนที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว มีน้ำสะอาดและคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างแท้จริง

Related Posts