จิสด้า ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศลดความเหลื่อมล้ำการถือครองที่ดิน

จิสด้า ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศลดความเหลื่อมล้ำการถือครองที่ดิน
ปัญหาระบบกรรมสิทธิ์ที่ดิน ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ปัญหากรรมสิทธิ์ และความขัดแย้งระหว่างราษฎรกับภาครัฐ ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญในพืนที่สูงของภาคเหนือ นอกเหนือไปประเด็นเรื่องการศึกษา รายได้ การมีงานทำ การเข้าถึงสาธารณสุขที่ดีมีคุณภาพ
ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นความความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความไม่เท่าเทียมและทั่วถึง จนขาดความสมดุลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การดำเนินการวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวนี้จำเป็นต้องทำการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วยการขับเคลื่อนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และแนวนโยบายของรัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างความมั่นคงของมนุษย์
และรักษาความยั่งยืนของฐานทรัพยากร ที่จะทำให้คนไทยทุกคนมีความเท่าเทียม เสมอภาค โดยการที่จะขับเคลื่อนพัฒนาประเทศให้หลุดพ้นจากกับความยากจน ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ไม่ยากเกินกว่าจะไปถึงเป้าหมายที่รัฐบาลได้วางแนวนโยบายไว้ ภายในอีก 20 ปี ข้างหน้า
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจิสด้าได้ดำเนินการวิเคราะห์และร่วมขับเคลื่อนในระดับพื้นที่สูงภาคเหนือ โดยได้นำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการลงสำรวจและจัดทำพื้นที่รายแปลง ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ
ประกอบด้วย ศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศภาคเหนือ GIST North, มูลนิธิรักษ์ไทย, กรมอุทยานฯ, กรมป่าไม้, สภาคริสต์จักร, กลุ่มชนเผ่าชาติพันธุ์และโรงเรียนบนพื้นที่สูง และอำเภอแม่แจ่ม
โดยมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่า การสำรวจ จัดทำฐานข้อมูลที่ดินทำกินของประชาชน จัดทำแผนบริหารจัดการที่ดินป่าไม้ระดับพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย รวมไปถึงมีการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ นายอำเภอแม่แจ่ม กล่าวว่า ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การพัฒนาในยุคดิจิตอลที่มีแหล่งข้อมูลขนาดยักษ์ (Big Data) หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย พลังแห่งอินเตอร์เน็ต (Internet of thing) มีอิทธิพลต่อคนทุกเพศทุกวัย และเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาในยุค ไทยแลนด์ 4.0
คนในชุมชนเริ่มมีการปรับตัว และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เริ่มยอมรับการส่งเสริมสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ที่นอกเหนือจากภาครัฐมากขึ้น นำไปสู่การปฏิรูปคนในชุมชนให้ทันกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ
“การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนนั้น เกิดจากการดำเนินงานที่มอง “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหา ตามหลักทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 รวมไปถึงเป็นการแก้ไขปัญหาด้านการศึกษา ความยากจน
และการเข้าถึงการรักษาพยาบาล สาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคและเท่าเทียมทางสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตความอยู่ดีกินดีให้แก่ชุมชนท้องถิ่น
บนพื้นฐานของกระบวนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมกับ “ภูมิสังคม ภูมินิเวศน์ ภูมิวัฒนธรรม”ของชุมชนคนแม่ศึก รวมไปถึงประชาชนคนแม่แจ่ม และพื้นที่สูงภาคเหนือทุกคน”
สำหรับพื้นที่ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างชุมชน ที่ไม่หยุดการพัฒนา ไม่รั้งรอ ร้องขอ หรือรอคอย พลังชุมชนจากทุกภาคส่วน
และเป็นมิติใหม่ของการบูรณาการอย่างแท้จริงจากผู้บริหารท้องที่ และท้องถิ่น โดยการนำของนายสันติชาติ ยิ่งสินสุวัฒน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ศึก ร่วมผนึกกำลังวางเป้าหมายกับชุมชน และภาคีร่วมหลายฝ่าย
โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่ดินทำกินและทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า ในระดับพื้นที่ โดยมุ่งหวังการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตพื้นที่ป่าของรัฐ ประชาชนมีการใช้ที่ดินอย่างสมดุลและยั่งยืน “คนอยู่ร่วมกับป่า อนุรักษ์ ฟื้นฟู ตามกรอบกติกาที่เป็นธรรม” นายอำเภอแม่แจ่ม กล่าว
ในส่วนการทำงานขับเคลื่อนระดับพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่นั้น นางมิ่งขวัญ กันธา รักษาการหัวหน้าฝ่ายภูมิสังคม สำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ กล่าวถึงกุญแจแห่งความสำเร็จต่อการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาบูรณาการกลไกการมีส่วนร่วม
เป็นเครื่องเชื่อมโยงระหว่างชุมชนกับรัฐ สำหรับการวางแผน บริหารจัดการ ประเมินผลและติดตามเชิงพื้นที่ในด้านต่าง ๆ เช่น การบริหารจัดการที่ดินทำกินของประชาชนในเขตพื้นที่ของรัฐ
ทรัพยากรดิน ทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำ การจัดการภัยพิบัติ การยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตเศรษฐกิจฐานของชุมชน
ทั้งนี้ การสร้างจิตสำนึกและฟื้นฟูป่าต้นน้ำจะเกิดผลไม่ได้ ถ้าไม่มีการส่งเสริมแบบมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน สำหรับพื้นที่ ต.แม่ศึก และประชาชนคนแม่ศึก ที่จะก้าวไปสู่ความมั่นคงในมิติด้านต่าง ๆ ไม่ได้ง่าย
แต่จากระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคม จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เห็นได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่กำหนดร่วมกัน โดยเฉพาะระบบคิดของพี่น้องประชาชนคนแม่ศึก จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างสมดุล และยั่งยืน
สร้างเศรษฐกิจระดับฐานรากในชุมชน ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในรูปแบบการจัดการร่วมตามแนวทางการจัดการร่วมหลายฝ่าย หรือที่เรียกว่า “ประชารัฐ”

Related Posts