นิสสัน กับเทคโนโลยีที่คู่แข่งต้องกลายเป็นผู้ตาม

นิสสัน กับเทคโนโลยีที่คู่แข่งต้องกลายเป็นผู้ตาม

ย้อนกลับไปไกลสักหน่อยถ้าเรานึกถึงยุคที่รุ่งเรืองของ นิสสัน ก็น่าจะเป็นในรุ่นของนิสสันซันนี่เอฟเอฟที่เห็นวิ่งกันเกลื่อนเมือง ในยุคเดียวกับรถเก๋งซีดานที่สวยบาดใจและฉีกแนวตลาดอย่างนิสสันเซฟิโร่เอ 31 ผู้โด่งดัง ด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว แถมยังมาเทคโนโลยีการปรับระดับโชคอัพอัตโนมัติ

เมื่อเรดาร์ตรวจพบว่าถนนมีสภาพที่เปลี่ยนไป สร้างความแตกต่างจากแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ ในขณะนั้น ที่ยังคงพัฒนาให้รถยนต์เป็นเพียงพาหนะที่วิ่งได้เพียงอย่างเดียว และนั่นกลายเป็นภาพแห่งความทรงจำในเรื่องเทคโนโลยีที่เรารู้สึกคิดถึง เมื่อพูดถึงนิสสัน

กระแสแบรนด์นี้กลับมาอีกครั้งตอนแนะนำมาร์ช อีโคคาร์รุ่นแรกๆ ของเมืองไทยที่หน้าตาน่าเอ็นดู และมีราคาที่จับต้องได้ ทำให้นิสสันกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นเวลาเพียงไม่นาน เพราะเมื่อเจ้าตลาดออกรถลักษณะเดียวกันมาก็ทำให้ทุกคนเริ่มลดความสนใจลง จนนิสสันต้องทำการกระตุ้นความสนใจให้ตลาดอีกระลอก

ด้วยการใส่เทคโนโลยีกล้องมองรอบคันให้กับรถวัยทีนอย่างโน๊ต และกระบะคันใหญ่อย่างนิสสันนาวาร่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ดีมาก ช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นมุมอับได้อย่างชัดเจน ถือเป็นการสร้างความแตกต่างที่คู่แข่งทั้งหลายยังไม่มี ถึงมีก็อยู่ในรถราคาระดับล้านกลางๆ ขึ้นไป

แต่ที่น่าจับตาล่าสุดนี้ อยู่ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 ที่นิสสันได้ยืนยันหนักแน่นแล้วว่าคนไทยจะมีโอกาสได้ขับนิสสันลีฟ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% กันอย่างแน่นอน แม้จะยังไม่ได้ระบุว่าจะมาในเดือนใดแต่ก็ถือว่าให้ความมั่นใจให้กับคนรักเทคโนโลยีพลังงานสะอาดได้อย่างมาก

และที่สำคัญสำหรับรถยนต์ประเภทนี้นั้นนิสสันได้พัฒนาไปไกลกว่าเพื่อนร่วมชาติมาก และยังไม่มีคู่แข่งรายใดที่พัฒนารถอีวีออกขายสู่ตลาดได้อย่างจริงจัง มีเพียงแต่ระบบลูกผสมที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าสนใจอีกต่อไป

นิสสันลีฟ เป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดในโลก มียอดขายไปแล้วกว่า 340,000 คันในเกือบ 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรุ่นที่จะนำมาขายในเมืองไทยเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 แล้ว และล่าสุดยังได้รางวัล World Green Car หรือรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยมจากงาน New York International Auto Show 2018 ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ซึ่งแม้ภายในงานบางกอกมอเตอร์โชว์จะมีรถยนต์ไฟฟ้ามาเปิดตัวกันหลายรุ่น แต่เมื่อมองเรื่องของความเชื่อมั่นในแบรนด์แล้วนิสสันลีฟกินขาด อยู่ที่ว่านิสสันจะเตรียมพร้อมกับการเปิดตัวและด้านการบริการอย่างไร

นายอันตวน บาร์เตส ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลการศึกษาของนิสสันที่ให้ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวนทำการสำรวจอนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานการสำรวจในประเทศไทยพบว่า มีความต้องการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างมากในประเทศไทย

โดยผู้เข้าร่วมการสำรวจ 44 เปอร์เซ็นต์ยืนยันว่าจะพิจารณาซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างแน่นอน เมื่อต้องตัดสินใจซื้อรถยนต์ครั้งต่อไป

“เมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ความต้องการซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยอยู่ในลำดับต้นๆ ลูกค้าที่ต้องการซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายังมีความพร้อมที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์จากราคารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเพื่อที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า”

นอกเหนือไปจากรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว นิสสันยังได้นำเสนอแนวคิด Nissan Intelligent Mobility ด้วยการใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ ลงไปในนิสสันทุกรุ่น เพื่อเจาะกลุ่มนักศึกษาที่กำลังเรียนหนังสือไปจนถึงผู้บริหารคนรุ่นใหม่แม่บ้าน ผู้บริหารระดับสูง ผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพและเจ้าของกิจการที่ต้องดูแลฟลีตรถมากมาย ยังไม่รวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ

มร.บาร์เตส กล่าวว่า นอกจากนี้นิสสันยังได้ทำการเปิดตัวนิสสัน จีที-อาร์ พรีเมียม อิดิชั่น 2018 ซึ่งผลิตที่โรงงานระดับโลกของนิสสันในเมือง โทชิกิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำมาตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มองหาประสบการณ์การขับขี่สไตล์ GT (แกรนด์ทัวริ่ง) และ R (เรซซิ่ง)

โดยเฉพาะ ซึ่ง จีที-อาร์ เป็นซูเปอร์สปอร์คาร์ตที่มีตัวถังแบบแกรนด์ทัวริ่ง 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ วี 6 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ที่ประกอบด้วยมือ ให้พละกำลังสูงสุด 555 แรงม้า แรงบิด 632 นิวตันเมตร ผ่านระบบเกียร์ซีเควนเชียลดูอัลคลัตช์ 6 สปีดที่ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เพียง 0.15 วินาทีเมื่ออยู่ในโหมด R-Mode ถ่ายกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

จีที-อาร์ จำหน่ายในประเทศไทยด้วยราคา 13.5 ล้านบาท พร้อมการรับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรและการบริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟโดยสยาม นิสสัน ทีเคเอฟ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นศูนย์บริการรถสมรรถนะสูงของนิสสันแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย หรือ นิสสัน ไฮเพอร์ฟอร์มแมนซ์ เซ็นเตอร์ (Nissan High Performance Center)

ทั้งนิสสันลีฟและจีที-อาร์ ถือเป็นก้าวใหม่ของนิสสันที่จะนำความเป็นแบรนด์แห่งเทคโนโลยีกลับมาในความรู้สึกอีกครั้งหนึ่ง แม้ทั้งสองรุ่นจะไม่ใช่รถตลาดที่ตอบสนองลูกค้าได้ทุกกลุ่ม แต่สิ่งที่นิสสันจะได้คือการยกระดับการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้สูงขึ้น และมีความล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตลาด

ซึ่งหากดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดในทิศทางที่ถูกต้องและสนับสนุนด้านการบริการให้ประทับใจ การเติบโตในโลกยุคใหม่ที่รถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะในการเดินทาง ก็จะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่ล้ำสมัยและน่าสนใจอยู่ในมือแล้ว

Related Posts