กรณี เอสเอ็มเอสกินตังค์ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบแบบไม่รู้ตัวในหมู่ผู้ใช้บริการและแพร่หลายมาอย่างยาวนาน หลายๆครั้งที่เราเห็นความพยายามในการแก้ไขปัญหาแต่ก็ยังไม่เห็นผลลัพท์เท่าไหร่
วันนี้นับเป็นอีกครั้งที่ กสทช.เรียกผู้ให้บริการทั้ง3รายหลักเข้าหารือ และออกแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนมากขึ้น แต่Thereporter.asia ฟังแล้วทะแม่งๆอย่างไรไม่รู้
เพราะท้ายที่สุดแล้วเหมือนเป็นการออกมาตรการเพื่อประทับตราความถูกต้องให้ผู้ให้บริการกลายๆไปซะอย่างงั้น
ก่อนเริ่มเรื่องขออธิบายก่อนว่า บริการเอสเอ็มเอสที่ว่านั้นเป็นการให้บริการเนื้อหา ข้อมูล ข่าวสาร ตลอดจนการแจ้งเตือนต่างๆให้กับผู้ใช้บริการมือถือ
ซึ่งเป็นระบบเก่า ก่อนที่จะเกิดกระแสสมาร์ทโฟนที่มือถือทุกเครื่อง สามารถเปิดรับข้อมูลผ่านระบบดาต้า หรือที่เราเข้าใจกันในชื่อ 3G, 4G นั่นเอง
หลังจากยุคดิจิทัลเข้ามา ระบบเอเอ็มเอส เริ่มตายไปอย่างน่าตกใจ เดิมทีเคยเปิดให้บริการ และเก็บค่าส่งข้อมูลข่าวสารแบบรายเดือน ตั้งแต่ราคา29-59 บาทหรือมากกว่านั้นต่อบริการ
ผ่านการสมัครด้วยการส่งโค้ดเข้าระบบ เช่นการกด *xxxxx*xxxx# เพื่อสมัครใช้บริการ ซึ่งสร้างมูลค่าไม่น้อยให้ผู้ผลิตเนื้อหาและผู้ให้บริการในสมัยนั้น
มาวันนี้เปลี่ยนไป การดูเนื้อหาผ่านสมาร์ทโฟนไม่ต้องเสียค่าบริการแต่อย่างใด ผู้คนเริ่มยกเลิกบริการ ระดับของการใช้งานข้อความสั้นเปลี่ยนรูปแบบมาสู่การแชทผ่านโปรแกรมต่างๆแทน
ยุคของการใช้บริการ เอสเอ็มเอสจึงสิ้นสุดลงอย่างทันที
มูลค่าน้อยเกินไป ผู้ให้บริการไม่ได้สนใจ
กลับมาที่ประเด็นของเราวันนี้ ที่เริ่มตั้งแต่การออกตัวแรงของ กสทช. ที่เปิดอกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมูลค่าน้อยเกินไป ซึ่งมีอยู่เพียงแค่หลักหมื่นบาทเท่านั้น ทำให้ผู้ให้บริการไม่ได้สนใจมากนัก
นับเป็นความเข้าใจที่ไม่ได้ทำการบ้านมากพอของผู้คุมกฎอย่าง กสทช. เพราะข้อเท็จจริงข้างต้นเป็นการอ้างข้อมูลของผู้แจ้งความเสียหายต่อ สบท. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูและช่วยเหลือ กรณีเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ใช้บริการโทรคมนาคมและผู้ให้บริการเท่านั้น
เมื่อตัวเลขผู้แจ้งมีเพียงเท่านี้ กสทช. ก็อนุมานเอาว่านี่คือตัวเลขทั้งหมดของความเสียหาย
แม้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะย้อนแย้งกับความเป็นจริงของมูลค่าบริษัทที่ให้บริการด้านคอนเทนต์ข้อความสั้นเป็นอย่างมาก
ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดบริษัทคอนเทนต์พาร์ทเนอร์รายหนึ่งมีรายได้จากการให้บริการกว่า 400 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา แม้ว่าสถานะการเอสเอ็มเอสจะไม่ได้รับความนิยมแล้วก็ตาม
งานนี้ Thereporter.asia เชื่อว่า ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายในประเทศไทย ไม่มีการผูกขาดการให้บริการคอนเทนต์เอสเอ็มเอสไว้เพียงแค่บริษัทเดียวเป็นแน่แท้ ดังนั้นจำนวนของการให้บริการรูปแบบเอสเอ็มเอสข้อความก็จะต้องมีมูลค่ามากกว่า 400ล้านบาท อย่างแน่นอน
หากสังเกตให้ดีจะเห็นข้อสงสัยที่ว่า เมื่อบริการไม่มีคนใช้แล้ว เหตุไฉนมูลค่าของบริษัทคู่ค้าเหล่านั้นของผู้ให้บริการจีงยังมีรายได้เป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาทในปัจจุบัน คำตอบจึงไปอยู่ที่เศษเงินที่ท่าน กสทช. บอกว่ามูลค่าน้อยเกินไปจนผู้ให้บริการไม่ได้สนใจ
นโยบาย 3773 ส่งเรื่องแก้ไข
การรับรู้สาเหตุก็ใช้หลักการเดียวกัน นั่นคือการรับแจ้งจาก สบท ซึ่งเป็นหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคม ที่เป็นหน้าด่านรับแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของผู้ใช้บริการที่โดนเอารัดเอาเปรียบ
แล้วส่งต่อพิจารณาภายใน3วัน เพื่อให้เอกชนดำเนินการภายใน 7 วัน หากไม่พอเพิ่มให้อีก 7วัน และส่งเรื่องกลับให้ผู้ร้องรับทราบภายใน 3 วัน รวมทั้งหมดสูงสุด 20วัน
จากขั้นตอนทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กสทช. มีหน้าที่เพียงแค่ส่งเรื่องต่อจากเรื่องที่ร้องมา โดยไม่มีการค้นหาข้อมูล หรือหาต้นสายปลายเหตุเพิ่มแต่อย่างใด
เนื่องจากต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน เพื่อส่งต่อไปยังผู้ให้บริการ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้อเท็จจริงจึงขาดองค์ประกอบอีกหลายส่วนที่จะทำให้เกิดความขัดเจนได้
ขณะที่เมื่อส่งเรื่องให้ผู้ให้บริการแล้ว ผู้ให้บริการตอบกลับมา กสทช เองก็มิได้มีการสืบค้นสาเหตุหรือข้อเท็จจริงเพิ่มแต่อย่างใด
ทำให้เรื่องราวที่เราเห็นเมื่อสิ้นสุดกระบวนการไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ ซึ่งเรื่องเอสเอ็มเอสกินตังค์ ก็เป็นหนึ่งเรื่องที่ยืนยันได้ถึงกระบวนการทำงานเช่นนี้
โดยประเด็นนี้ กสทช.ได้สั่งการให้ผู้ให้บริการ ส่งข้อความยืนยันหลังจากผู้ใช้บริการสมัครแล้วกลับไปให้ผู้ใช้บริการอีกครั้ง ภายในระยะเวลาที่กำหนด
พร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนการยกเลิกที่ละเอียดครบทุกขั้นตอนหากเป็นการสมัครโดยไม่ตั้งใจเกิดขึ้น และให้เวลา7วันสำหรับผู้ให้บริการในการดำเนินการดังกล่าว
และแม้ว่าจะถูกถามถึงการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกสคลิปต์หน้าเว็บสมัครใช้บริการโดยไม่รู้ตัว หรือแม้กระทั่งรูปแบบการฝังตัวมากับสแปมเมล์ และสแปมเอสเอ็มเอส
เพื่อลวงให้กดเปิดดูแล้วมัดมือเป็นการยินยันสมัครใช้บริการแบบอัตโนมัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กลับได้รับคำตอบว่ายังไม่ทราบ หากนักข่าวทราบช่วยส่งเรื่องมาให้เรา
งานนี้นักข่าวก็งงว่าตกลงคณะกรรมการไม่แสวงหาข้อมูลเป็นปกติวิสัยหรือ ถึงต้องให้นักข่าวหาข้อมูลให้เพื่อประกอบการพิจารณาแทน
วิบากกรรมตกที่ผู้ใช้บริการ
ข้อความข้างต้นคงชัดเจนแล้วว่า เมื่อผู้ให้บริการส่งข้อความยืนยันแล้ว หากผู้ใช้บริการ ไม่ได้สมัครใจให้กดยกเลิก ซึ่งจะมีผลทันที แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครที่เปิดอ่านข้อความสั้นเป็นนิสัย
และโดยเฉพาะผู้เฒ่า ผู้แก่ที่ใช้งานเครื่องแบบฟีเจอร์โฟนอยู่นั้น คงไม่ได้กดดูอย่างแน่นอน ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการบอกกลายๆว่า ”หากไม่ไม่กดยกเลิก ก็ต้องเห็นใจโอเปอร์เรเตอร์ด้วย” ตามคำบอกของกสทช.ในที่ประชุม
การออกมากอดคอของ กสทช.และผู้ให้บริการทั้ง 3 รายจึงเหมือนเป็นการออกมาบอกว่า “ส่วนของฉันแก้ไขแล้วนะ ส่วนของผู้ใช้ก็ต้องปรับตัวด้วย ถ้าไม่ปรับก็อาจจะต้องจ่ายจริง” แบบกลายๆ
งานนี้คงต้องบอกเลยว่าทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน ได้ประทับตราให้บริการเอสเอ็มเอสกินตังค์ เป็นบริการสามารถเรียกเก็บค่าบริการได้อย่างถูกต้องแล้ว
ก็ได้แต่หวังว่าหน่วยงานควบคุม จะเห็นความผิดปกติของโครงสร้างที่ผิดเพี้ยน ซึ่งนับว่าชัดเจนมากหากเปิดตามเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก เอสเอ็มเอสเป็นบริการที่ตกยุคแล้ว สำหรับยุคดิจิทัล แต่กลับมีรายได้หลายร้อยล้านในพาร์ทเนอร์แต่ละรายได้อย่างไร แค่คิดก็สงสัยแล้ว แต่กสทช กลับไม่สงสัยบ้างเลยหรอ
หรือวันนี้ หน่วยงาน กสทช. ยังคงใช้เอสเอ็มเอสสื่อสารกันเป็นเรื่องปกติ เลยคิดว่าโลกภายนอกเขาก็ยังใช้อยู่เช่นกัน
#พลายอะตอม#