LINE เผย SCB Connect เป็นแอคเคาท์ที่ใช้ LINE Business Connect ได้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด สามารถเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างธนาคารกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด เผยโซลูชัน LINE Business Connect เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคที่ธุรกิจให้ความสำคัญเกี่ยวกับ Data และการจัดการข้อมูลเป็นในลำดับแรก
นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและสื่อโฆษณา LINE ประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากที่ไลน์ได้เปิดให้บริการ Business Connect หรือ BC พบว่า ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดีและมีการเติบโตถึง 5เท่าจากต้นปี 2560 หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ลูกค้าเริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับ Data ที่ตัวเองมีอยู่มากขึ้น และต้องการเครื่องมือที่สามารถเข้าถึง Data ของตัวเองได้โดยนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ LINE Corporate Solution เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและเครื่องมือทางการตลาดที่ตอบโจทย์ได้มากที่สุด
ปัจจุบันลูกค้าของ LINE ที่ใช้ LINE Business Connect มีอยู่34เปอร์เซ็นต์ ของลูกค้าทั้งหมด โดยปัจจุบันธุรกิจที่ใช้ BC มากที่สุด คือกลุ่มธุรกิจขายปลีก กลุ่ม FMCG และกลุ่มธนาคารและการเงิน
และคาดว่าในปลายปี 2561 ธุรกิจในกลุ่มธนาคารและการเงินจะเติมโตและหันมาใช้เพิ่มขึ้นมากสุด ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่ม ตามด้วยกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและกลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร
“จากการประเมินผลการใช้งานที่ผ่านมาพบว่า SCB Connect เป็นแอคเคาท์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างตรงความต้องการมากที่สุด ส่วนหนึ่งมาจาก SCB Connect เป็นแอคเคาท์ที่มี Block Rate ที่ต่ำที่สุดในตลาดหลังจากเปิดให้บริการมา 1 ปี”
“โดยปัจจุบันมียอดผู้ใช้มากกว่า 2 ล้านคน นับได้ว่าเป็นเคสตัวอย่างที่สามารถนำโซลูชัน LINE Business Connect มาใช้กับ Data และการจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแท้จริง”
ด้านนายธนา เธียรอัจฉริยะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Marketing Officerธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดิจิทัลแพลตฟอร์เป็นสิ่งที่ไทยพาณิชย์ให้ความสำคัญและทำการพัฒนามาโดยตลอด เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า
และสามารถตอบสนองความต้องการและรองรับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้าในยุคดิจิทัล โดยที่ผ่านมาธนาคารได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มของตัวเองผ่านทาง SCB EASY มาระยะหนึ่งแล้ว
จากนี้ไปธนาคารจะให้ความสำคัญในการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ ร่วมกัน ซึ่งโซเชียลแพลตฟอร์มนับเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มใหญ่ที่ไทยพาณิชย์ให้ความสำคัญ
“LINE เป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่เราเลือก โดย 95% ของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนในประเทศไทยให้ความนิยมสูงสุดในการใช้เป็นช่องทางหลักในการติดต่อสื่อสาร ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับ LINE ในการนำโซลูชัน Business Connect มาใช้เป็นธนาคารแรก
โดยได้ทำการพัฒนาร่วมกันเพื่อเป็นช่องทางใหม่ในการให้บริการแจ้งเตือนทุกความเคลื่อนไหวของบัญชีทั้งบัญชีเงินฝากและบัตรเครดิต ทุกรายรับ รายจ่าย ตั้งแต่บาทแรก ฟรีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น ผ่าน SCB Connect บน LINE แพลตฟอร์ม”
ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานกว่า 2.2 ล้านคนภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน มีอัตราการเติบโตสูงถึง 344% นับจากขยายการให้บริการด้านบัญชีเงินฝากเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่สำคัญมีอัตรา Block rate ที่ต่ำมากน้อยกว่า 10%
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริการนี้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มร้านค้าและมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการรู้ทุกความเคลื่อนไหวเวลามีเงินเข้าออกบัญชีตั้งแต่บาทแรก
ต่างจากในอดีตที่จะมีบริการแจ้งเตือนผ่าน SMS แต่ก็ต้องมียอดเคลื่อนไหวขั้นต่ำ500 บาทขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มียอดการทำธุรกรรมต่อครั้งจำนวนไม่สูง
ดังนั้น SCB Connect จึงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหรือ Pain point ของลูกค้าได้ตรงจุด ธนาคารคาดหวังว่าความร่วมมือกับ LINE ในครั้งนี้จะทำให้ธนาคารสามารถยกระดับการให้บริการสู่การเป็น “Social Banking Platform”ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ
โดยฟีเจอร์ที่ลูกค้านิยมใช้ 3 อันดับแรกบน SCB Connect ได้แก่ การแจ้งเตือน การจัดการข้อมูลบัญชีเงินฝาก และการจัดการข้อมูลบัตรเครดิต ตามลำดับ
นายธนา กล่าวว่า สำหรับในเฟสถัดไปธนาคารได้เตรียมพร้อมพัฒนาขีดความสามารถของ SCB Connect ด้วยการขยายบริการให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ อาทิ บริการด้านสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล ที่ให้ลูกค้าสามารถผูกบัญชีสินเชื่อบนSCB Connect เพื่อสอบถามยอดและรับการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดชำระ
นอกจากนี้ยังเตรียมฟีเจอร์ใหม่ สร้างบาร์โค้ดเพื่อชำระเงิน (Barcode Generator) โดยที่ลูกค้าไม่ต้องนำ Statement ตัวจริงไปชำระ ณ จุดรับชำระอีกต่อไป
รวมถึงการนำเทคโนโลยี Natural-language processing (NLP) มาใช้เป็นครั้งแรกเพื่อคุยกับลูกค้าได้พร้อมกันหลายคนแบบเรียลไทม์ด้วยภาษาสนทนาทั่วไป สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่มักหาข้อมูลและจัดการเรื่องต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ด้วยตัวเอง นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของธนาคารในประเทศไทยที่นำเทคโนโลยี NLPมาใช้ในการให้บริการลูกค้า