บีเอ็มดับเบิลยูประเทศไทยเดินหน้าปูพื้นรถยนต์ไฟฟ้า เริ่มจากการนำบริการ BMW Connected Drive ที่ได้เชื่อมต่อกับไมโครซอฟท์ อาซัวร์ แพลตฟอร์มคลาวด์ที่จะช่วยให้ ฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชัน BMW Connected สามารถใช้งานได้มากกว่าเวอร์ชันเดิม
คาดว่าจะเปิดให้บริการในครึ่งปีหลัง สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในตระกูล iPerformance และ BMW i เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ดีขึ้น
ฟีเจอร์นี้จะทำการแสดงสถานะรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะและระดับของแบตเตอรี่ ระยะทางที่คาดว่าจะแล่นได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลืออยู่ และข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถได้จากทุกที่ ทุกเวลา
การควบคุมการชาร์จพลังงานไฟฟ้าและระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารจากระยะไกล ผู้ใช้งานสามารถเปิด/ปิดเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน หรือตั้งเวลาเปิด/ปิดล่วงหน้าให้ตรงกับเวลาที่ต้องการออกเดินทาง
และหากรถยนต์เชื่อมต่ออยู่กับสถานีชาร์จ ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมการชาร์จด้วยการตั้งเวลาที่ต้องการได้ เพื่อเลือกให้ชาร์จไฟฟ้าในช่วง off peak หรือในช่วงเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าน้อยและมีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ
ระบบการนำทาง ที่สามารถค้นหาและนำทางไปยังสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดได้อีกด้วย การประมวลและแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ของแต่ละบุคคล โดยวิเคราะห์รูปแบบการขับขี่และควบคุมรถยนต์บนท้องถนน
นายคริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า ฟีเจอร์ BMW ConnectedDrive ครบรอบ 20 ปีแล้วในปี 2561 นี้ ซึ่งขณะนี้แอปพลิเคชัน BMW Connected มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.3 ล้านคนและมีรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูกว่า 10 ล้านคันใน 45 ประเทศทั่วโลกที่มีการเชื่อมต่อด้วยฟีเจอร์ของระบบ BMW ConnectedDrive
การเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับ BMW ConnectedDrive นี้มาพร้อมภายใต้วิสัยทัศน์ NUMBER ONE > NEXT ที่จะเป็นการก้าวไปสู่อนาคตของรถยนต์ในโลกดิจิทัล สำหรับบริการ BMW ConnectedDrive ในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance ผู้ใช้งานจะสามารถควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้จากระยะไกล
อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับรถได้อย่างง่ายดาย ผ่านแอปพลิเคชัน BMW Connected บน iPhone ส่วนแอนดรอย์แพลตฟอร์มจะตามมาในเร็วๆ นี้
ด้าน ดร.อเล็กซานเดอร์ คอเทช หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์บีเอ็มดับเบิลยู i กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั่วโลก และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป พร้อมที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอด้วยการสร้างสายการประกอบรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นที่สุด
โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด และเครื่องยนต์สันดาป จะใช้สายการประกอบร่วมกัน เพื่อรองรับความต้องการในเรื่องของรุ่นรถยนต์ และระบบขับเคลื่อนที่แตกต่างของผู้ขับขี่ได้ทุกที่ทุกเวลา
ภายในปี พ.ศ. 2568 บีเอ็มดับเบิลยู i จะมีรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด 25 รุ่น ประกอบไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ถึง 12 รุ่น ขณะที่แบรนด์และสายผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้ความดูแลของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ก็ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
BMW ConnectedDrive ใช้ระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์ อาซัวร์ ในการทำการวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลปริมาณมหาศาลที่บันทึกจากการขับขี่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู โดยระบบ Open Mobility Cloud ของบีเอ็มดับเบิลยูได้เลือกใช้แพลตฟอร์ม ไมโครซอฟท์ อาซัวร์เป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาบริการอัจฉริยะ
เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่มากมาย ที่ไม่เพียงเชื่อมโยงตัวรถเข้ากับสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคอนเทนต์และระบบเครือข่ายจากภายนอก
ปี 2560 ที่ผ่านมาบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่สูงกว่าปีก่อนหน้ามากถึง 269% และในปีนี้ ตลาดรถยนต์ในเซกเมนต์ปลั๊กอินไฮบริดยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นกัน ด้วยยอดการส่งมอบที่เพิ่มขึ้นถึง 44% ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2561
ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ก็ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยยอดขายใน 4 เดือนแรกของปี ที่สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 3,511 คัน หรือเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ยังสามารถทุบสถิติ ยอดการส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ที่ 690 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 50% จากช่วงเดียวกันของปี 2560
ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีอัตราการเติบโตถึง 41.7% จากยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด 36,692 คันทั่วโลกในเดือนมกราคมถึงเมษายน 2561 โดยเฉพาะในประเทศจีน ที่ประสบความสำเร็จด้วยอัตราการเติบโตแบบปีต่อปีที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 646.7% ด้วยยอดการส่งมอบรวม 3,181 คันใน 4 เดือนแรกของปี
สำหรับแผนการรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น จะสอดคล้องกับแผนระยะยาวของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ที่ได้ตั้งเป้ายอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไว้ 1.2 ล้านคันภายในปี 2579
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรในโครงการ ChargeNow ในการขยายเครือข่ายการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีให้บริการอยู่ 14 หัวจ่ายทั่วประเทศ และเตรียมเพิ่มให้เป็น 50 หัวจ่ายในปีนี้นี้
เน้นการติดตั้งในกทมและจังหวัดหลักทั่วประเททศ และเมื่อรวมกับสถานีอัดประจุไฟฟ้าอีก 50 แห่งของศุนย์บริการจำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จะนีสถานีอัดประจุไฟฟ้ารวมทั้งหมดถึง 100 แห่งภายในปี 2561
ด้านนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มีการคาดการณ์กันว่าในปี พ.ศ. 2563 รถยนต์ใหม่ในตลาดโลกกว่า 90% จะมาพร้อมกับคุณสมบัติการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์หรือโลกภายนอก ซึ่งรวมทั้ง BMW ConnectedDrive และแพลตฟอร์ม Open Mobility Cloud
ระบบคลาวด์ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ เป็นแพลตฟอร์มเปิดที่พร้อมรองรับการพัฒนาต่อยอด เพื่อเสริมให้รถยนต์สามารถตอบสนองต่อความต้องการด้านการขับขี่ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ และเป็นระบบคลาวด์ที่ได้รับความไว้วางใจด้วยการรองรับมาตรฐานระดับโลกและระดับอุตสาหกรรมในด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมากกว่า 70 มาตรฐาน
“ความร่วมมือของเรากับบีเอ็มดับเบิลยูถือเป็นการสานต่อวิสัยทัศน์ของโลกยุคใหม่ ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพอันเหนือชั้นทั้งในระบบคลาวด์ นวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) มาเสริมประสิทธิภาพและความคล่องตัวในทุกขณะของชีวิต” นายธนวัฒน์กล่าวเสริม
บริการใหม่ข้างต้นจาก BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance จะมาพร้อมกับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป โดยรุ่นที่รองรับประกอบด้วย บีเอ็มดับเบิลยู 330e บีเอ็มดับเบิลยู 530e และบีเอ็มดับเบิลยู 740Le