โกลบเทค มั่นใจธุรกิจ ‘แผนที่นำทาง’ โตดันรายได้ทะลุ 200 ล้านบาท

โกลบเทค มั่นใจธุรกิจ ‘แผนที่นำทาง’ โตดันรายได้ทะลุ 200 ล้านบาท

การใช้ ‘แผนที่นำทาง’ สำหรับธุรกิจ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การพาไปถึงจุดหมายเท่านั้น แต่ยังนำมาใช้สำหรับการบริหารให้กับธุรกิจขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันบริการข้อมูลแผนที่มีความหลากหลายมากขึ้น ซับซ้อน และสามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี

และมีแนวโน้มที่ต่อยอดไปสู่ความหลากหลายมากขึ้น เมื่อผนวกเข้ากับเทคโนโลยีใหม่อย่าง IoT ยังช่วยให้สามารถขยายฐานผู้ใช้งานจากการใช้งานที่เริ่มกระจายตัวมาถึงองค์กรระดับกลางและเล็ก

โกลบเทคหนึ่งในบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทซีดีจี ผู้ให้บริการข้อมูลแผนที่ (Location Content Provider) ในระดับภูมิภาค เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการเติบโตของตลาดทางด้านนี้ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีพัฒนาและให้บริการข้อมูลแผนที่ดิจิตอลและข้อมูลอ้างอิงพิกัดตำแหน่งครบทุกรูปแบบ

ทั้งการออกแบบและพัฒนาข้อมูลแผนที่ฐาน แผนที่ระบบนำทางและข้อมูลอ้างอิงพิกัดตำแหน่ง รวมไปถึงโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับเทเลเมติกส์ ทำให้สามารถตอบรับกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด กล่าวว่า จากแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของบริการที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการข้อมูลแผนที่ดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ 200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 160 ล้านบาท

โดยได้มีความร่วมมือพาร์ทเนอร์ในการทำตลาดให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าภาคธุรกิจที่ต้องการข้อมูลพื้นฐานที่ละเอียดครบถ้วนถูกต้อง และครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย ให้ลูกค้าภาคธุรกิจสามารถนำประโยชน์จากข้อมูลแผนที่สำหรับการวางแผน และบริหารจัดการทั้งในชีวิตประจำวันและตอบโจทย์ทางด้านธุรกิจ

“การเติบโตของธุรกิจในปีนี้ส่วนใหญ่จะมาจากบริการระบบนำทาง (Navigation) เป็นหลัก เพราะสามารถตอบสนองความต้องการผู้ประกอบการรถยนต์ที่ได้นำเอา Technology telematics มาใส่ในระบบแผนที่นำทางเข้าไปใช้งานเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในรถยนต์รุ่นต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจุดขายและช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่ผู้ใช้

อาทิ ระบบรายงานสภาพจราจร ระบบการติดตามยานพาหนะ รวมไปถึงธุรกิจ E-Commerce ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย จำเป็นจะต้องใช้แผนที่เข้ามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการลูกค้า เพื่อสร้างความแตกต่างของการบริการในภาวะการแข่งขันรุนแรงในปัจจุบัน”

เช่นเดียวกับบริการ “Map for GIS” : Geographic information System technology ที่ปัจจุบันได้มีการนำข้อมูลด้าน Location มาประกอบการวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจมากขึ้น GIS เป็นเทคโนโลยีที่เป็นที่รู้จักมากขึ้น เกิดการขยายฐานผู้ใช้งานจากเดิมที่มีการนำไปใช้งานเฉพาะกลุ่มบริษัทหรือองค์กรใหญ่

และเริ่มกระจายตัวมาถึงองค์กรระดับกลางถึงเล็กมากขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงอีก 1 บริการที่ตอบโจทย์ในยุค Cloud Technology และบริการ”Online Map service” ที่เป็นการนำฟีเจอร์ในแผนที่ออนไลน์มาใช้ประโยชน์กับ SMEs มากขึ้น

นายวิชัย กล่าวว่า ล่าสุดโกลบเทคได้ทำความร่วมมือกับ Mobileye ผู้นำทางด้านระบบ ADAS (Advanced Driver-Assistance Systems) จากอิสราเอล ต่อยอดระบบนำทางเพิ่มความสามารถในการดูแลความปลอดภัยด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ด้วยจุดเด่นการใช้กล้องตรวจจับการขับรถที่สุ่มเสี่ยงต่ออันตราย

เช่น การขับรถชิดคันหน้าในระยะเสี่ยง หรือการเปลี่ยนเลนกระทันหันจับกลุ่มธุรกิจขนส่งและยานยนต์ พร้อมนำเทคโนโลยี IoT ช่วยหน่วยงานราชการและเอกชนพัฒนาระบบภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร โดยร่วมมือกับ บริษัท Daliworks ผู้นำทางด้านการบริการแพลตฟอร์มด้าน IoT ในประเทศเกาหลีใต้ นำแฟลตฟอร์ม ThingPlus มาให้บริการในประเทศไทย

แฟลตฟอร์มของ ThingPlus ดังกล่าว เป็นการจัดการข้อมูล IoT บนคลาวน์แบบเรียลไทม์ มีค่าใช้จ่ายไม่สูง สามารถขยายความสามารถในการรองรับอุปกรณ์ได้ตามความต้องการ ซึ่งโกลบเทคคาดหวังว่าในไทย ThingPlus จะทำให้บริษัทหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถรวบรวมเอาข้อมูล Big Data จากอุปกรณ์ IoT มาวิเคราะห์

หรือ รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดหรืออาจจะเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อการทำงาน โดยจะให้บริการในประเทศไทยภายใต้ชื่อบริการ NOSTRA Thing+ IoT Platform และในปีนี้ มีแผนรุกตลาดในกลุ่ม Real-estate, Smart warehouse และ Smart Farm ตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้รวม (share revenue) ที่ 5%

“ผลิตภัณฑ์ที่มีให้บริการอยู่ของโกลบเทคยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งการจัดทำแผนที่ประเทศไทยอย่างละเอียดมากที่สุด และยังคงเดินหน้าพัฒนาเพิ่มเติมบริการที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

โดยสัดส่วนรายได้ขณะนี้แบ่งระบบนำทางแผนที่ยังเป็นรายได้หลักประมาณ 60% จีไอเอสและคอนเทนต์ 32% ธุรกิจใหม่อย่างไอโอที 5% และที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ แต่มั่นใจว่าในอนาคตธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไอโอทีจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

Related Posts