ถ้าพูดถึงคนที่มีความชอบเรื่องรถยนต์ “ซูบารุ” จะเป็นแบรนด์หนึ่งที่นักขับจะรู้ว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะเหนือกว่ารถยนต์แบรนด์อื่นอย่างไร แม้ว่าในอดีตจะมีเพียงรุ่นแรงๆ เท่านั้นที่สร้างชื่อเสียงให้ และมีราคาสูงเกินจะเอื้อม
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซูบารุได้เริ่มนำรถยนต์สมรรถนะดีราคาเอื้อมถึงได้ มาตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าง่ายขึ้น แม้จะไม่ได้แรงแบบรุ่นสร้างชื่อ แต่ก็ดีจนเกินหน้าเกินความคาดหมาย รวมถึง Subaru XV ใหม่รุ่นล่าสุดนี้
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ กลายเป็นฟังก์ชันปกติไปเลยสำหรับ Subaru XV ใหม่ เราไม่ได้คาดหวังว่าจะมาหาความมั่นใจในระบบช่วงล่างของรถแบรนด์นี้ เพราะรู้ดีว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราคาดหวังคือความสบายในการขับขี่ สามารถใช้งานได้ทุกวัน
และมีเทคโนโลยีที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะผู้บริโภคยุคนี้ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
ภาพแรกที่เห็นรถคันนี้ต้องบอกเลยว่านี่คือรุ่นใหม่ หรือเป็นการปรับปรุงจากโฉมเดิมกันแน่ เพราะคล้ายกันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งเปลี่ยนหมด รุ่นใหม่นี้มีขนาดตัวรถที่ยาวขึ้น กว้างขึ้น ความสูงเพิ่มขึ้น และฐานล้อยาวที่ขึ้นกว่าเดิม
เช่นเดียวกับสิ่งทันสมัยภายนอกก็จัดเต็มมาให้ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้าแบบ LED พร้อมปรับทิศทางตามการเลี้ยว และไฟ Daytime Running Light ที่เด่นสะดุดตา
อีกเทคโนโลยีที่น่าสนใจคือการปลดล็อกที่ไม่จำเป็นต้องหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดปิด เพียงแค่พกกุญแจใส่กระเป๋าหรือติดตัวไว้แล้วเดินเข้าใกล้รถ แล้วยื่นมือไปจับที่เปิดประตูระบบก็จะปลดล็อคให้ประตูทั้ง 4 บาน
ส่วนการล็อครถนั้นก็แนวๆ กับรถยุโรปหรูคือแค่เอานิ้วไปแตะแถบ 2 ขีดที่อยู่ส่วนหน้าของมือจับเปิดประตู รถก็จะล็อคให้ ไฮโซเกินหน้าเกินตาคู่แข่งไปเลย
เข้าไปนั่งในรถ การเข้าออกทำได้ง่าย ตำแหน่งเบาะนั่งอยู่ในระดับที่พอดี นั่งสบายทั้งการรองรับแผ่นหลังตัวเบาะรองนั่งยาวกำลังดี มีรูปแบบที่ออกแนวสปอร์ต และที่สำคัญคือการปรับเบาะฝั่งคนขับนี้ปรับด้วยไฟฟ้า
ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นเดิมที่ลองเข้าไปนั่งดูแล้วพบว่ารุ่นใหม่นี้สบายกว่ากันมาก ส่วนเบาะข้างคนขับแม้จะไม่ได้ปรับด้วยไฟฟ้า แต่ก็มีจำแหน่งที่สูงพอดี วางขาสบาย ไม่ต้องนั่งชันเข่าเหมือนรถเก๋งหลายๆ รุ่น
เช่นเดียวกับเบาะหลังที่นั่งสบายไม่แพ้กัน เอนในระดับพอดี ทำให้การโดยสารทางไกลไม่เมื่อยล้ามากนัก ซึ่งในวันที่ทดสอบนั้นเดินทางกัน 5 คน ก็นั่งกันได้ดีไม่มีใครบ่น หรือต้องลงมารถมาบิดขี้เกียจกันเกินเหตุหลังจากเดินทางไกลแต่อย่างใด
ด้านการบรรทุกสัมภาระด้านหลังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าการดีไซน์รถในรูปแบบของแฮชแบค 5 ประตูที่ดูโฉบเฉี่ยวนั้น ก็จะให้การขนสัมภาระมาแบบพอดีๆ ไม่ได้แคบจนวางอะไรไม่ได้เลย
การตกแต่งคอนโซลหน้า เรียกได้ว่ามีความทันสมัยและจัดวางทุกอย่างได้อย่างเหมาะสม ออกแบบได้ดูสปอร์ตกลมกลืน ไม่ได้เด่นเฉพาะคนขับแล้วคนนั่งข้างจะดูจืดชืดไปเลยเหมือนรถอีกหลายๆ รุ่น โดยมีหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่จะสามารถเชื่อมต่อกับโลกภายนอกและสมาร์ทโฟนเพื่อสร้างความบันเทิงได้
แม้จะดูไม่ค่อยสดใสเหมือนกับหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วไปนัก แต่ก็ใช้งานได้ดี โดยเฉพาะแผนที่แบบ 3 มิติ ที่สร้างความเพลิดเพลินได้มากเพราะสวยและแปลกตา ส่วนที่จอเล็กๆ ด้านบนนั้นจะเป็นมาตรวัดที่แสดงข้อมูลการขับขี่ อาทิ ข้อมูลแบบออฟโรด ข้อมูลการส่งกำลังและการทำงานของช่วงล่าง เป็นต้น (จริงๆ อันนี้ก็ดูแล้วเพลินดี)
ระบบเครื่องเสียงมีช่องให้ใส่แผ่น CD/MP3 มีช่องเสียบ USB ช่อง HDMI, AUX มีปลั๊กจ่ายไฟ 12V และช่องเสียบ USB 2 ช่อง (แต่เสียบเล่นไฟล์ไม่ได้ ) และแม้จะยังไม่รองรับการใช้งาน Apply CarPlay/Android Auto ก็ไม่แปลก
เพราะในความเป็นจริงแล้วก็มีน้อยค่ายมากที่จะมีระบบนี้ให้ใช้อย่างจริงจัง ส่วนทางด้านลำโพงที่ให้มา 6 ตัวนั้นให้สุ้มให้เสียงที่น่าพอใจและสร้างความเพลิดเพลินให้กับทุกคนที่เดินทางได้เป็นอย่างดี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้มีลูกเล่นด้านดิจิทัลที่หวือหวา แต่หากเทียบสิ่งที่ให้มากับคู่แข่งหรือเอสยูวีที่ใหญ่กว่าแล้วก็นับว่าให้มาไม่น้อยหน้าใคร
ด้านการขับเคลื่อนนั้น Subaru XV คันนี้ถูกออกแบบมาให้มีสมรรถนะการควบคุมความสมดุลสูงสุดของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบสมมาตร ที่ให้การตอบสนองการบังคับทิศทางพวงมาลัยในการเข้าโค้งได้ดี การทรงตัวดีกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน
ทั้งในทางตรงที่แม้จะใช้ความเร็วสูงก็ยังสามารถสร้างความมั่นใจได้มากกว่ารถร่วมสัญชาติทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงโค้งที่จะให้ความรู้สึกแนบแน่นและปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะพาวิ่งออกนอกลู่นอกทาง นอกจากนี้ยังมี X-Mode ที่จะช่วยให้ลุยไปเที่ยวในพื้นที่ทุรกันดานมีความสนุกมากขึ้น
แม้ว่าระยะต่ำสุดจากพื้นถนนจะอยู่ที่ 220 มม. ซึ่งนับว่าสูงกว่ารถเอสยูวีในขนาดเดียวกัน แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องโดยสารแล้วก็ไม่ได้ทำให้ดูตัวลอยสูงขึ้นมาจนขาดความมั่นใจ แต่กลับให้อารมณ์เหมือนนั่งรถเก๋งธรรมดาที่สูงแบบปกติแต่มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับรถยกสูง
จึงสามารถขับซอกแซงทั้งในเมืองและเปลี่ยนเลนกระทันหันได้โดยไม่ต้องกลัวว่าตัวจะโยนไปมาเหมือนรถยนต์ที่สูงเท่าๆ กัน เพราะรถให้การควบคุมที่ดีและเบาะนั่งที่ซัพพอร์ตเป็นอย่างดีทำให้การขับขี่ค่อนข้างลงตัวไปหมด
และของเล่นอย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่เมื่อเซ็ตค่าไว้แล้ว หลังจากการเบรคหรือชะลอ ระบบจะเร่งกลับให้ไปอยู่ที่ตั้งไว้แบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องตั้งใหม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบมาก
เครื่องยนต์ขนาด 2,000 ซีซี 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที แม้จะให้อัตราเร่งตีนต้นที่หน่วงๆ สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้อืดจนน่ารำคาญ แต่หลังจากที่ผ่านความเร็วระดับ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ก็จะกระฉับกระเฉง กดคันเร่งเมื่อไรก็พร้อมที่จะมา
และอย่างที่บอกไปในทริปนี้ว่าเราโดยสารกัน 5 คน รวมกันก็ 300 กว่ากิโลกรัม การตอบสนองก็ยังคงทำได้ดี อัตราเร่งในช่วงกลางดี และการทรงตัวยังคงมั่นใจได้แม้จะเปลี่ยนเลนหรือเบรคกระทันหัน ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ในทริปนี้อยู่ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (แม้รถจะยังไปได้อีกแต่ก็เป็นห่วงความปลอดภัย เพราะบางครั้งการขับรถต่างจังหวัดเราเดาพฤติกรรมของคนท้องถิ่นได้ยาก)
พฤติกรรมการแล่นเป็นที่น่าพอใจมาก การเปลี่ยนเกียร์ตอบสนองดี เราสามารถเพลิดเพลินกับการใช้ความเร็วในช่วงต่างๆ ได้แบบลื่นไหลไม่สะดุด เมื่อประกอบเข้ากับพวงมาลัยที่เซ็ตมาเป็นอย่างดี ก็ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยลุ้นกับการเหวอหรือไม่มั่นใจในช่วงที่เปลี่ยนเลนไปมา
เช่นเดียวกับช่วงล่างที่ไม่ได้แข็งกระด้างแต่มีความหนึบแน่นและไม่โยนตัวเวลาพื้นถนนไม่ราบเรียบ ต่างจากรถเอสยูวีช่วงล่างเบาๆ เขาเป็นกัน เพราะคันนี้นอกจากช่วงล่างจะคงความเป็นซูบารุไว้อย่างเหนียวแน่นแล้ว ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างของรถให้แข็งแรงเข้าไปอีก
ไม่ต่างกับการเบรคที่ทุกครั้งจะให้น้ำหนักค่อนข้างดี ไม่ลึกไปไม่ตื้นมาก และที่สำคัญเบรคได้อย่างมั่นใจในทุกความเร็ว
ทางด้านความปลอดภัยนั้นถุงลมนิรภัยมีมาให้แบบรอบตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งรวมไปถึงถุงลมนิรภัยหัวเข่าสำหรับคนขับ ม่านถุงลมนิรภัยระดับศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า/หลัง รวมทั้งหมด 7 จุด มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่
และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน ระบบป้องกันล้อล็อค ระบบป้องกันคันเร่งค้าง ส่วนระบบความปลอดภัยอื่นๆ ที่ใครๆ มี คันนี้ก็มีมาให้อีกเช่นกัน
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นต้องบอกก่อนว่า ให้ลบภาพการบริโภคน้ำมันของเครื่องยนต์รุ่นเดิมๆ ของซูบารุไปก่อน ซึ่งรวมถึงความเข้าใจแบบผิดๆ ที่ว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อต้องกินมากกว่าขับเคลื่อนแค่ 2 ล้อ
เพราะซูบารุคันนี้ให้ความประหยัดในระดับที่ต้องร้องว๊าววออกมาแบบลืมตัว แม้เราจะมีผู้โดยสารมากและมีการใช้ความเร็วอย่างต่อเนื่อง อัตราสิ้นเปลืองกลับไม่ต่างจากรถเครื่องยนต์ที่เล็กกว่าเลย ดีกว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรในอีกหลายๆ คัน
และต้องไม่ลืมว่านี่คือรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบตลอดเวลา ถ้าจะให้ประมาณการณ์ก็เฉลี่ยอยู่ที่ 14 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับทริปนี้ (ไม่ได้ขับความเร็วต่อเนื่อง ขับค่อนข้างเร็ว และมีโหดในบางช่วง) เรียกว่าทำได้ดีจนต้องลุกขึ้นปรบมือ