การเปิดตัวฟอร์ดเรนเจอร์ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ อาจจะทำให้หลายคนต้องอึ้งกับราคาตัวท็อปที่สูงถึง 1,265,000 บาท ซึ่งดูว่าจะเกินหน้าเกินตาไปมากสำหรับความเป็นกระบะ แต่การตั้งราคาสูงในระดับนี้ ฟอร์ดย่อมอัดเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าสมน้ำสมเนื้อเข้ามาอย่างมาก
เพราะจากรุ่นเดิมที่มีราคาค่อนข้างสูงแต่ก็มีเทคโนโลยีที่สูงกว่าคู่แข่งในตลาดไปมากเช่นกัน แถมด้วยความมั่นใจในการทรงตัวที่เมื่อจ่ายแพงแล้ว ก็ไม่ต้องไปทำเพิ่ม และ Thereporter.asia ก็มี 7 เหตุผลดีๆ ที่ทำให้คุณยอมจ่ายรถรุ่นใหม่คันนี้
ข้อแรก ใครที่อยากได้กระบะพลังแรงอย่าง เรนเจอร์ แร็พเตอร์ แต่เกินใจจะไขว่ขว้าเพราะราคาทะลุไปถึง 1.69 ล้านบาท แถมยังไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ลุยโหดขนาดนั้น ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทรค ตัวท็อปนี้ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะวางเครื่องยนต์ตัวเดียวกัน
เป็นเครื่องยนต์ดีเซลไบเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ใช้ระบบ Sequentail Turbocharging ที่ผสานการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ทั้ง 2 ตัว เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพและมอบสมรรถนะสูงสุด
โดยเทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวแรกเป็นแบบเทอร์โบแปรผัน (Vartiable Turbocharger) จะช่วยเร่งการตอบสนองของคันเร่ง และลดช่วงการรอรอบ ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดและแรงม้าสูงแม้ตอนใช้ความเร็วต่ำ
ในขณะที่เทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวที่สองซึ่งเป็นระบบเทอร์โบ Fixed-geometry จะรับหน้าที่ต่อเพื่อเพิ่มกำลังและความเรียบลื่นให้กับเครื่องยนต์ขณะใช้ความเร็วสูง
ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้าแรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ไบเทอร์โบมอบแรงบิดที่เหนือกว่า และอัตราทดเกียร์ที่แคบลงของเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด จะช่วยเพิ่มพลังและแรงเร่ง ทำให้การไต่เขาที่ลื่นและสูงชันง่ายดายยิ่งขึ้น ที่สำคัญสามารถลากจูงได้สูงสุดถึง 3,500 กิโลกรัม
2.นอกจากจะแรงกว่าแล้ว เทคโลยีที่ให้มาก็เกินหน้าเกินหน้ารถยนต์หลายๆ รุ่นในท้องตลาด รวมถึงเก๋งขนาดกลางของหลายๆ ค่ายที่ราคาเข้าไปแตะ 2 ล้าน ยังไม่มีระบบที่ว่ามานี้เลย ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) เป็นครั้งแรกในตลาดรถกระบะ ซึ่งระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับคนเดินถนนและยานพาหนะด้านหน้า
และจะทำการช่วยเบรกจนหยุดนิ่งเมื่อระบบพบว่าคนขับไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) และระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกจากเลน (Lane Departure Warning) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
รวมถึงระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ (Active Park Assist – APA) ซึ่งช่วยให้การเทียบจอดรถข้างทางเป็นเรื่องง่าย โดยระบบกึ่งอัตโนมัติจะบังคับทิศทางของรถให้เข้าสู่ช่องจอด ผู้ขับขี่เพียงควบคุมคันเร่งหรือเบรกเท่านั้น ระบบหลังสุดนี้เคยใส่ในฟอร์ดโฟกัสมาแล้ว และทำให้ผู้ใช้งานต้องทึ่ง
3.เพิ่มความไฮโซและดูไม่เป็นกระบะเพื่อการบรรทุกสิ่งก่อสร้าง ฟอร์ดเรนเจอร์ จึงนำระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (Easy Lift Tailgate) ครั้งแรกในตลาดรถกระบะ ด้วยกลไกซึ่งช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลง 70 เปอร์เซ็นต์ ช่วยให้เปิดปิดฝากระบะท้ายง่ายดายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
4.สะดวกสบายด้วยกุญแจอัจฉริยะ (PEPS) และปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ และเพิ่มความรู้สึกสบายและเป็นส่วนตัว รวมถึงได้รับความบันเทิงสูงสุด ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ยังเพิ่มระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร (Active Noise Cancellation)
5.ระบบสังการด้วยเสียง ที่ฟอร์ดเหมือนจะเป็นแบรนด์แรกๆ ที่นำระบบนี้มาใช้ในนามว่า SYNC 3 และสำหรับกระบะไฮโซคันนี้ก็มาถึงเจนเนอเรชันที่ 3 หรือ SYNC 3 ที่รองรับ Apple Carplay และ Andriod Auto พร้อมบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว และกล้องมองหลัง
โดยผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถเมื่อออกนอกพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และที่สำคัญที่สุดคือไม่ต้องสังงานด้วยเสียงและสำเนียงฝรั่งจ๋าอีกต่อไป เพราะระบบซิงค์ 3 นี้มาพร้อมระบบจดจำเสียงและระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยเพื่อการใช้งานที่คล่องตัวยิ่งขึ้น
ระบบซิงค์ 3 ยังครอบคลุมไปถึงระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ซึ่งจะทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อผ่านบลูทูธภายในรถ เพื่อติดต่อไปยังหมายเลข 1669 ในกรณีเกิดอุบัติเหตุจนถุงลมนิรภัยทำงานหรือระบบตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
ระบบช่วยโทรฉุกเฉินนี้จะติดตั้งมากับรถฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ทุกคันที่ใช้ระบบซิงค์ 3 และบริการฟรีค่าแรงในการตรวจเช็คตามระยะ สูงสุดถึง 5 ปี หรือภายในระยะ 75,000 กิโลเมตร เพียงเข้าตรวจเช็คระยะทุก 15,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี
ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมฟีเจอร์แบบพื้นๆ ที่ใครๆ ก็มี แต่ไม่ได้กล่าวถึงเพราะใส่มาให้ตั้งแต่รุ่นที่แล้ว ส่วนที่เพิ่มเติมมานี้เป็นการอธิบายว่าทำไมต้องตั้งราคา 1,265,000 บาท และถ้าเราไปเทียบตัวท็อปสุดของบางแบรนด์นั้นก็จะพบว่าแม้ฟอร์ดจะราคาสูงกว่า
แต่ถ้าเทียบกับเงินที่จ่ายเพิ่มมาก็คุ้มค่ากว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์และระบบความปลอดภัยแบบที่รถยุโรปมี ยังไม่นับช่วงล่างที่หนึบแน่นเป็นเอกลักษณ์แบบไม่ต้องแต่งเพิ่มใดๆ สมเหตุสมผล ครบเครื่อง ไม่ใช่แพงเพราะชุดแต่ง สวยแต่รูปแต่จูบแล้วไม่มั่นใจ