รีวิว : BMW 2018 เชื่อมต่อคนกับรถเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

รีวิว : BMW 2018 เชื่อมต่อคนกับรถเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

บีเอ็มดับเบิลยูจัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์ BMW Fleet Review 2018 ณ สนามปทุมธานีสปีดเวย์ จังหวัดปทุมธานี งานนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้สัมผัสรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูกันมากมายหลายรุ่น รวมไปถึงสมรรถนะและความแรงของบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล M

โดยการขับขี่ในครั้งนี้การทดสอบทางด้านสมรรถนะนั้นเป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้ว กับความเป็นรถระดับพรีเมียมที่มาพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ที่ยังคงตอบสนองการขับขี่ทั้งแบบธรรมดาและแบบที่เรียกว่าโหดกว่าปกติได้ดีกันทุกรุ่น การันตีคุณภาพของตัวรถที่ผ่านการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ กันทุกชิ้นส่วนของตัวรถได้ดีเลยทีเดียว

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือนวัตกรรมการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดแห่งโลกอนาคตอย่างเทคโนโลยี BMW ConnectedDrive ซึ่งในรถรุ่นใหม่ปี 2018 นี้ ConnectedDrive ของบีเอ็มดับเบิลยูจะมีการใช้ IoT หรือ Internet of Things มากขึ้น

ตอกย้ำแนวคิดเชื่อมผู้ขับกับตัวรถและสภาพแวดล้อมภายนอก เน้นในเรื่องของความสะดวกสบาย ความบันเทิง และความปลอดภัย นับเป็นการมองไปถึงอนาคตข้างหน้าที่การเชื่อมต่อจะมีบทบาทมากขึ้น

ConnectedDrive นั้นบีเอ็มดับเบิลยูได้ทำการพัฒนามากว่า 40 ปีแล้ว โดยในปี 1999 ตัวรถจะสามารถเชื่อมต่อกับคอลเซ็นเตอร์ได้ ส่วนในปี 2007 ก็ได้มีการนำกูเกิลเข้ามาใช้ในรถยนต์กันแล้ว

BMW

และสำหรับรุ่นปี 2018 นี้ได้มีการฝังซิมการด์เข้ามาในตัวรถเป็นซิม 4G โดยสังเกตง่ายๆ สำหรับรถรุ่นที่มีคือ จะมีปุ่มเอสโอเอสบริเวณกระจกมองหลังบนหลังคารถ เพื่อให้บริการที่เรียกว่า TeleService (Lifetime) โดยในรถรุ่นปี 2018 จะให้ใช้บริการฟรีทุกบริการใน 2 ปีแรก

เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองว่าในการใช้งานจริงนั้นใช้บริการใดบ้าง แล้วหลังจากครบ 2 ปี จะสามารถเลือกได้ว่าจะใช้บริการใดบ้าง ก็จะมีค่าใช้จ่ายตามบริการที่ใช้

การใช้งานระบบนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของบีเอ็มดับเบิลยู จากนั้นก็เข้าไปลงทะเบียนเพื่อรับพาสเวิร์ด โดยตัวพาสเวิร์ดก็จะส่งไปที่รถเพื่อเชื่อมต่อกับมือถือ สำหรับแสดงความเป็นเจ้าของการให้บริการ และจะมีบริการผู้ช่วยส่วนตัวแบบ 7x24x7

ซึ่งจะมีศูนย์อยู่ในต่างประเทศ แต่หากติดต่อเข้าไปจากรถยนต์จากเมืองไทยก็จะมีเจ้าหน้าที่เป็นคนไทยเป็นผู้ให้บริการ โดยแอปพลิเคชันจากมือถือนี้ยังเป็นเสมือนรีโมตเซอร์วิส ที่สามารถสั่งการจากมือถือเพื่อเปิดไฟหรือปิดไฟ ล็อกรถ รวมไปถึงตั้งเวลาให้รถเปิดแอร์ได้ในทุกวันก่อนที่จะเข้าสู่ตัวรถ

เช่นในวันทำงานจะออกจากบ้านในเวลา 8.30 น. ก็จะสามารถสั่งให้เปิดแอร์รอตอน 8.25 น.ได้เลยทุกวัน รวมไปถึงยังดูได้ว่าชาร์ตไฟเต็มหรือยังและชาร์ตไปเท่าไรแล้ว (สำหรับรุ่นปลั๊กอินไฮบริด) ได้อีกด้วย

ทางด้านความบันเทิงก็ได้มีการเชื่อมต่อได้กับแอปเปิลคาร์เพลย์ ดึงข้อมูลของแอปเปิลไปใช้บนรถเช่น สิริ ส่วนตัวแผนที่เราสามารถใส่ล่วงหน้าได้ว่าจะไปไหนในตอนเย็น และระบบจะดูว่าใช้เวลาเท่าไร ซึ่งถ้าใกล้ถึงเวลาหรือระบบจะประมาลผลอีกครั้งว่าการจราจรเป็นอย่างไร และหากรถเริ่มติดก็จะเตือนให้เราออกเดินทางเร็วขึ้น เป็นต้น ส่วนแอนดรอยด์ออโต้นั้น เตรียมให้บริการได้ในเร็วๆ นี้

อีกจุดเด่นของ ConnectedDrive รุ่น 2018 นี้ คืดระบบช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ซึ่งเจ้าของรถสามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์ได้ทันที โดยคอลเซ็นเตอร์จะดูว่าเราต้องการออะไร เช่น รถยก รถพยาบาล แต่หากผู้ขับขี่บาดเจ็บจนสื่อสารไม่ได้ ทำได้เพียงการกดปุ่น SOS

ทางคอลเซ็นเตอร์ก็จะประเมินด้านการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ด้วยการพิจารณาจากข้อมูลที่รถส่งเข้าไปในระบบ เพื่อส่งให้ทีมช่วยเหลือเข้ามาช่วยในทันที นอกจากนี้ยังมี Automotive Service Call ที่ตัวรถจะประเมินตัวเองว่า ถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าเบรคหรือจานเบรค หรือเปลี่ยนอุปกรณ์อื่นๆ แล้วหรือยัง ถ้าครบกำหนด ระบบจะส่งข้อมูลไปยังดีลเลอร์เพื่อแจ้งศูนย์ว่าต้องเปลี่ยนอะไร แล้วทางดีลเลอร์ก็จะเตรียมนัดกับเจ้าของรถ

ไม่เพียงเทคโนโลยีล้ำหน้าที่ใส่เข้าไปในตัวรถเท่านั้น เพราะสำหรับในส่วนของรถยนต์ขับขี่แบบอัตโนมัตินั้น ขณะนี้บีเอ็มดับเบิลยูได้พัฒนาอยู่ในระดับที่ 3 จากขั้นสูงสุดคือระดับ 5 ที่รถจะสามารถขับเองและทำทุกอย่างได้เองแบบอัตโนมัติ

BMW

ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการพัฒนาและทดสอบทางด้านความปลอดภัย เนื่องจากการใช้งานเรดาห์ส่งสัญญาณระหว่างการใช้งานในเมืองและการใช้งานนอกเมือง จะมีความแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม

สำหรับในปัจจุบันนี้เทคโนโลยีที่มีการใส่ไอโอทีเข้ามาในตัวรถแล้วก็อย่างเช่น ระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) เซนเซอร์ควบคุมความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor)

ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side impact protection) ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) ระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) และระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW Gesture Control)

นอกจากนี้ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) จะทำให้การจอดรถง่ายดายขึ้นด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถในรูปแบบแนวขนานหรือการจอดแบบเข้าซอง ระบบอัลตร้าโซนิคเซ็นเซอร์ (ultrasonic sensors) สามารถช่วยค้นหาพื้นที่จอดที่เหมาะสมได้ในขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชั่วโมง

โดยเมื่อพบจุดจอดแล้ว ระบบจะทำการจอดรถเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเกียร์ หมุนพวงมาลัย ตลอดจนผ่อนคันเร่งหรือเบรกโดยอัตโนมัติ และในกรณีที่พื้นที่จอดรถทำมุมกับถนน ระบบจะต้องการพื้นที่ว่างด้านข้างตัวรถเพียงข้างละ 40 เซนติเมตรเท่านั้นในการทำงานแบบอัตโนมัติ เป็นต้น

นับตั้งแต่ปี 2018 นี้บีเอ็มดับเบิลยูจะไม่ได้เป็นเพียงแค่รถระดับพรีเมียมที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่จะยังอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัยมากเข้าไปอีก ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับการขับขี่ที่สนุก ปลอดภัย และยังได้รับสุนทรียภาพในด้านอื่นๆ เพื่อการใช้ชีวิตในรถได้ดีมากขึ้นไปอีก

แต่หากสงสัยว่าการขับขี่ BMW Fleet Review 2018 ครั้งล่าสุดที่ Thereporter.asia ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการทดสอบนั้น มีรุ่นอะไรบ้าง ก็ลองดูกันได้ตามรายชื่อดังต่อไปนี้ ส่วนจะสนในรุ่นไหนนั้นก็ตามแต่รสนิยม แต่รับรองว่าสนุกถึงใจกันทุกคันแน่นอน

อันประกอบไปด้วย บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 520d Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 630d GT M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู X2 sDrive20i M Sport X, บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport, และพีคในพีคกับบีเอ็มดับเบิลยู M2 Coupe และบีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe

Related Posts