ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ ขยับไปสู่การใช้ หุ่นยนต์ เข้ามาแทนที่การจัดการรักษาที่มีประสิทธิภภาพมากยิ่งขึ้น ‘หุ่นยนต์จัดยา’ เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่หลายโรงพยายาลเลือกใช้ เพื่อเชื่อมโยงระบบจ้อมูลของโรงพยาบาลในรูปแบบดิจิทัล Hospital Information Sysytem (HIS) ที่โรงพยาบาลพระรามเก้าเลือกใช้ ควบคู่กับการปรับเข้าสู่รูปแบบ Digital Hospital ด้วยกระบวนการรักษาที่ผสานเทคโนโลยียุคใหม่เข้ากับความสามารถทางการแพทย์ที่มีในปัจจุบัน
พร้อมรีแบรนด์ใหม่-ปรับกลยุทธ์ธุรกิจครั้งใหญ่ สู่ “โปรเฟสชั่นแนลเฮลท์แคร์คอมมูนิตี้” ลงทุนสร้างอาคารใหม่และปรับปรุงอาคารปัจจุบันรับการขยายตัวของผู้ใช้บริการ ขยายขอบเขตบริการและความเชี่ยวชาญในการส่งเสริมสุขภาพครบวงจร ปรับแนวทางสู่โรงพยาบาลดิจิตอล เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขัน จับดีมานด์สังคมรักสุขภาพ ในรูปแบบของ “Co-healthy Space” ที่มีบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย เป็นมิตร และทันสมัย
เร่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ด้วยการสร้าง Brand Loyalty ครองใจผู้ใช้บริการเดิม และออกกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการขยายฐานลูกค้าทั้งกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย บุคคลที่ใส่ใจและดูแลสุขภาพ ไปจนถึงผู้ป่วยโรคซับซ้อน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่โรงพยาบาลฯ มีความชำนาญในการรักษา ด้วยบริการทางการแพทย์ระดับสากลที่รับรองโดย JCI และการทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรกับโรงพยาบาลทั่วประเทศ

นายแพทย์เสถียร ภู่ประเสริฐ รองประธานกรรมการ กรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า “เรามีความพร้อมในด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในอัตราค่าบริการที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า (Value for Money)”
โดยโรงพยาบาลพระรามเก้าได้รับความนิยมจากทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเฉพาะชาวเมียนมาและกัมพูชา ตลอดจนกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนหรือทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวจีนที่นิยมเข้ามาอาศัยในบริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของโรงพยาบาลฯ
ทั้งนี้การปรับตัวเข้าสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัลในระยะแรกนั้น โรงพยาบาลฯ ได้นำข้อมูลทางการแพทย์ต่างๆ รวมถึง ประวัติการรักษา เวชระเบียนผู้ป่วย และการจ่ายยาเข้าจัดเก็บในระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ซึ่งช่วยให้การจัดการและการให้บริการของโรงพยาบาลฯ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังสามารถต่อยอดพัฒนาจัดทำระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Business Intelligence) เพื่อช่วยส่งเสริมประสิทธิผลและความปลอดภัยในการวินิจฉัย การสั่งยาจัดยา-จ่ายยา และการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ให้มีความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น
สอดรับกับในปัจจุบันโรงพยาบาลมีการนำระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (Healthcare Information System: HIS) เข้ามาช่วยจัดการกระบวนการทำงานของโรงพยาบาลฯ และอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาผู้ป่วยหรือที่เรียกว่า “ดิจิตอลเฮลท์” (Digital Health) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้รับบริการและให้สอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน
เช่น การพัฒนาห้องระบบศูนย์บัญชาการควบคุม (Command Center) ควบคู่ไปกับพัฒนาโมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับผู้ป่วย (Praram 9 Patient Mobile Application) และการประยุกต์นำเอาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถใส่ติดตัว (Medical Wearable Device)
มาเสริมการให้บริการเพื่อให้โรงพยาบาลฯ สามารถติดตามสถานการณ์ ดูแลป้องกันและเตรียมพร้อมการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที โดยอาจรวมไปถึงการให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องสุขภาพและการรักษาเบื้องต้นให้กับผู้ป่วยที่อยู่ระยะไกล (Telemedicine)
นอกจากนี้ยังมีการนำ หุ่นยนต์ จัดยา ซึ่งมีความแม่นยำและรวดเร็ว เข้ามาช่วยในการจัดการจัดยาให้เกิดประสิทธิภาพทั้งระบบ ในชื่อรุ่น TR EV 1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความแม่นยำสูง โดยจะทำการรับคำสั่งทันทีจากระบบ HIS หลังการสั่งยาของแพทย์ เข้าสู่แผนกเภสัช โดยภายในหุ่นยนต์จัดยาจะมีระบบการบรรจุขวดและติดฉลาก เพื่อกำกับยา พร้อมทั้งส่งต่อให้ระบบนับเม็ดที่อยู่ภายในเครื่องเดียว
หุ่นยนต์จัดยา ช่วยในการจ่ายยาลงขวดได้อย่างถูกต้องแม่นยำและปิดฝาทันที สามารถจัดยาได้สูงสุด 180 ขวดต่อชั่วโมง รองรับขวดยา 2 ขนาด (20DR และ 40DR) ผ่านช่องจ่ายยาทั้งหมด 15 ช่อง แบบแยกอิสระจากกัน ผู้ควบคุมสามารถดูแลระบบการจัดยาอัตโนมัติได้ผ่านหน้าจอสัมผัส ได้อย่างสะดวกตลอดกระบวนการจัดยา
ด้านนายแพทย์สุธร ชุตินิยมการ รองกรรมการผู้อำนวยการ (ฝ่ายบริหาร) และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการ (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวถึงกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจของโรงพยาบาลพระรามเก้าว่า “เพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ โรงพยาบาลพระรามเก้าได้เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการ

โดยปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจ จากการเป็นโรงพยาบาลที่มอบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยในระดับตติยภูมิ (Tertiary Care) ซึ่งเป็นการดูแลผู้ป่วยในระยะที่อาการรุนแรงแล้ว สู่การเป็น Professional Healthcare Community ที่มอบบริการการดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาลแบบองค์รวมอย่างเต็มรูปแบบและไร้รอยต่อในทุกขั้นตอน เพื่อเป็นคอมมูนิตี้สำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพใจกลางเมือง ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของทุกคน”
5 กลยุทธ์หลักดังกล่าวที่โรงพยาบาลพระรามเก้าใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ ประกอบด้วย
1. ขยายเครือข่ายพันธมิตรและความร่วมมือทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันโรงพยาบาลพระรามเก้ามีโรงพยาบาลพันธมิตรทั้งหมด 9 แห่งในประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ในหลายภูมิภาคของประเทศ ทั้งจังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี จันทบุรี ตรัง อุบลราชธานี ชุมพร และนครสวรรค์ โดยโรงพยาบาลที่ร่วมเป็นพันธมิตรจะทำการส่งต่อผู้ป่วยโรคไตมาที่โรงพยาบาลพระรามเก้า
เพื่อเข้ารับการรักษาที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองเฉพาะทางในด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยเปลี่ยนไต จากมาตรฐานระดับโลก “JCI” นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อส่งผู้ป่วยเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลพระรามเก้า โดยมีสถาบันทางการแพทย์และศูนย์การแพทย์ที่โดดเด่นและบริการทางการแพทย์ที่หลากหลายเป็นปัจจัยดึงดูด
- ทุ่มงบกว่า 2,000 พันล้านบาท สร้างอาคารใหม่สูง 16 ชั้น อาคารใหม่ของโรงพยาบาลฯ จัดสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด Co-Healthy Space เพื่อรองรับการขยายขอบเขตบริการทางการแพทย์และจำนวนผู้ใช้บริการที่เติบโตสูงขึ้น โดยอาคารแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมทางการแพทย์ที่มีเครื่องมือทันสมัย ให้บริการระดับพรีเมี่ยม ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพรักษาพยาบาล และบริการด้านไลฟ์สไตล์
เช่น ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ส่วนจัดแสดงนิทรรศการเพื่อส่งเสริมสุขภาพและ Co-working Space ขณะนี้อาคารใหม่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการภายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2562
ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลฯ ยังมีแผนการปรับปรุงอาคารปัจจุบัน ให้มีบรรยากาศทันสมัยและรองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคซับซ้อน และผู้ป่วยภาวะวิกฤติ (ICU และ CCU) โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนเตียงจดทะเบียน จาก 166 เตียงในปัจจุบัน เป็นประมาณ 313 เตียงได้ในปี 2565
- ขยายขอบเขตการให้บริการ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion & Wellness)
โรงพยาบาลฯ จะขยายขอบเขตในการบริการให้ครอบคลุมไปถึง การส่งเสริมสุขภาพ การตรวจหาโรค การประเมินความเสี่ยงและลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ การบำบัดฟื้นฟูหลังอาการป่วย ไปจนถึงบริการด้านสุขภาพอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ
โดยจะดำเนินการต่าง ๆ เช่น จัดตั้งศูนย์สุขภาพเส้นผม ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมความงาม ศูนย์รักษาอาการปวดและเวชศาสตร์ฟื้นฟู ศูนย์ตรวจสุขภาพครบวงจรที่พร้อมให้บริการตรวจสุขภาพในทุกช่วงอายุ รวมไปถึงยกระดับแนวทางการดูแลผู้ป่วยมะเร็งให้เป็นการดูแลแบบองค์รวม
4. เดินหน้าสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิตอล (Digital Hospital) ด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับบริการทางการแพทย์และกระบวนการทำงานภายในโรงพยาบาล โรงพยาบาลฯ จะนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการแพทย์และกระบวนการทำงานพร้อมทั้งอำนวยความสะดวก
เพิ่มความปลอดภัย และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ป่วย โดยปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาผู้ป่วยในรูปแบบที่เรียกว่า “ดิจิตอลเฮลท์” (Digital Health)
เช่น โมบายแอปพลิเคชั่นสำหรับผู้ป่วย (Praram 9 Patient Mobile Application) ห้องระบบศูนย์บัญชาการควบคุม (Command Center) อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สามารถใส่ติดตัว (Medical Wearable Device) ที่เสริมความสามารถในการติดตามสถานการณ์ ดูแลป้องกันและเตรียมพร้อมการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที รวมไปถึงการให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องสุขภาพและการรักษาเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ระยะไกล (Telemedicine)
5. มุ่งเน้นการตลาดเชิงรุกและการปรับภาพลักษณ์องค์กร เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็น Professional Healthcare Community ผ่านการบูรณาการกลยุทธ์การสื่อสารและการตลาดอย่างรอบด้าน เช่น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ใน Social Media การทำไวรัลวิดีโอ (Viral Video)
รวมทั้งการจัดอบรมและสร้างความเข้าใจถึงวิถีการดำเนินธุรกิจและให้บริการภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่ขององค์กร (Employee Cultural Transformation หรือ Organization Development) ในกลุ่มคณะแพทย์และบุคลากรของโรงพยาบาล เพื่อสร้าง
การรับรู้และการมีส่วนร่วม (Engagement) กับผู้รับบริการและชูศักยภาพของโรงพยาบาลฯ ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และสามารถดึงดูดการใช้บริการของลูกค้ากลุ่มใหม่นอกเหนือจากกลุ่มผู้ป่วย สำหรับโลโก้ใหม่ได้มีการปรับสีให้มีความทันสมัยและเป็นมิตรขึ้น โดยที่ยังไม่สูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมไป ด้วยการใช้รูปทรงที่ไหลมาบรรจบและตัดขวางกัน เพื่อสื่อถึงการผสานพลังของเครื่อข่ายพันธมิตรทางการแพทย์และความเป็นคอมมูนิตี้
ทั้งนี้อุตสาหกรรมโรงพยาบาลในประเทศไทยในปัจจุบัน มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (อ้างอิงจากข้อมูลในปี 2557) ที่ร้อยละ 4.1 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 6.8 สะท้อนว่ายังมีโอกาสการเติบโตอีกในอนาคต ทิศทางการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้
ด้วยจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจาก 10.4 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 15.9 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในปี 2558 เป็น 20.5 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 32.1 ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ในปี 2583 อัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคร้ายแรงที่เพิ่มขึ้นจากรูปแบบการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ความต้องการด้านบริการสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ และการผลักดันของรัฐบาลเพื่อให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก ทำให้โรงพยาบาลฯ เล็งเห็นถึงโอกาสขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต และมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์รวมด้านการดูแลสุขภาพที่ทันสมัยและได้รับความไว้วางใจมากที่สุด” นายแพทย์เสถียร กล่าวเสริม
“โรงพยาบาลพระรามเก้ามีผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 2559 และ 2560 มีรายได้รวม 1,996.4 ล้านบาท 2,272.5 ล้านบาท และ 2,455.2 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 10.9 ต่อปี ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 โรงพยาบาลฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 653.3 ล้านบาท
ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 15.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ด้วยจุดแข็งและกลยุทธ์การแข่งขัน โรงพยาบาลพระรามเก้ามั่นใจในศักยภาพการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นายแพทย์สุธร กล่าวปิดท้าย