ดีเอชแอล เน้นนวัตกรรมรุกตลาดเมืองไทย

ดีเอชแอล เน้นนวัตกรรมรุกตลาดเมืองไทย

ดีเอชแอล ซัพพลายเชนเตรียมขยายบริการ เพื่อรองรับการเข้าสู่ธุรกิจในยุคดิจิทัลและความคาดหวังของผู้บริโภคในเมืองไทยที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ด้วยการวางแผนลงทุนเพิ่มทั้งในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี

รวมถึงคลังสินค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน เพื่อช่วยให้ลูกค้าของบริษัทยังคงความได้เปรียบทางการแข่งขันในโลกธุรกิจ ผ่านการใช้โซลูชันและกระบวนการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ทั้งในส่วนการดำเนินงานคลังสินค้าและการขนส่ง

ดีเอชแอลซัพพลายเชนปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงาน ในปีที่ผ่านมาดีเอชแอลได้ประกาศการลงทุนถึง 2,700 ล้านบาทภายในปี ค.ศ. 2020 เพื่อการดำเนินงานแบบครบวงจร (end-to-end operations) ในกลุ่มตลาดประเทศไทย (ไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์)

เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของการเติบโตทางธุรกิจในภูมิภาค โดยนวัตกรรมที่ดีเอชแอลพัฒนาการดำเนินงานและบริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ Ring Scanner เครื่องสแกนระบบบลูทูธแบบสวมนิ้ว ช่วยให้สแกนบาร์โค้ดได้อย่างรวดเร็วโดยที่พนักงานยังมีมือว่างสำหรับทำงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในเวลาเดียวกัน

Vision Picking เทคโนโลยีแว่นอัจฉริยะคุณภาพสูง แสดงข้อมูลที่ชัดเจนในการสร้างภาพเสมือนจริง (Augmented reality) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในคลังสินค้า, Collaborative Robots โรบอทที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย

เพื่อรองรับงานที่ซับซ้อนและต้องทำซ้ำๆ กันตลอดเวลา, DHL Transport Management Center ศูนย์บริหารการขนส่งดีเอชแอลที่เชื่อมต่อกับระบบเทเลมาติกส์ที่ติดตั้งบนรถขนส่ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารกลุ่มยานยนต์ขนส่ง การตรวจสอบสถานะ และการพัฒนาทักษะของพนักงานขับรถ รวมถึงเพิ่มการตรวจสอบสถานะและความปลอดภัยของตัวสินค้า

DHL Connected View ระบบการทำงานผ่านเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลการขนส่งแบบเรียลไทม์และสามารถเรียกดูได้ทุกที่ทุกเวลา และ EPOD (Electric Proof of Delivery) การยืนยันการส่งมอบสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อช่วยให้ลูกค้าประหยัดเวลาและลดการใช้กระดาษ

นายเควิน เบอร์เรล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า ในปี 2017 ดีเอชแอล ซัพพลายเชนเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก ซึ่งนับจากนี้จะเดินหน้าขยายธุรกิจในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องเพราะเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตอีกมาก

โดยนอกจากนวัตกรรมแล้วดีเอชแอลยังทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานในซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการวางกลยุทธ์และแผนการลงทุนที่เหมาะสมในด้านเทคโนโลยีเพื่อการปรับเปลี่ยนการทำงานซัพพลายเชนไปสู่ระบบดิจิทัล

ปัจจุบัน ดีเอชแอลได้นำเสนอ Resilience360 ซึ่งเป็นระบบแพลตฟอร์มการบริหารความเสี่ยงในซัพพลายเชนที่ทำงานบนคลาวด์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถประเมินจุดที่จะเกิดความเสี่ยงเพื่อวางแผนการรับมือได้ล่วงหน้า ในขณะเดียวกันได้นำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในทุกแห่ง

แม้แต่ในระดับบ้านพักอาศัย โดยดีเอชแอลได้นำมาใช้ในสถานที่ปฏิบัติงานเพื่อแสดง “แผนที่ความร้อน (Heat maps)” ซึ่งจะแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดในคลังสินค้า สำหรับใช้ในการพัฒนาการใช้งานทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน

“ดีเอชแอลมีการบริการและรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองเทรนและความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภค อาทิ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซและการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การใช้พลังงานทดแทน การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์

บริการแบบหลายช่องทาง ระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปันและอื่น ๆ อีกมากมาย และเพื่อตอบสนองต่อเทรนดังกล่าว ดีเอชแอลได้ผสมผสานนำระบบ และโซลูชันการให้บริการที่ดีทีสุด รวมถึงพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญผสานการทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านของลูกค้า

ไปพร้อมกับการรักษามาตรฐานระดับสูงของดีเอชแอล ทั้งในด้านความเชื่อมั่นของการให้บริการและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ”

นายเควิน กล่าวว่า ดีเอชแอล ซัพพลายเชน มีบริการที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยี อุตสาหการ วิทยาศาสตร์ชีวภาพและการดูแลสุขภาพ พลังงาน และเคมีภัณฑ์

ดีเอชแอล ซัพพลายเชนประเทศไทยมีพนักงานกว่า 12,000 คนในสถานที่ปฏิบัติงาน 70 แห่ง โดยมีคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ารวมพื้นที่กว่า 650,000 ตารางเมตร และรถขนส่งกว่า 4,000 คัน

Related Posts