กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เปิดงานสตาร์ทอัพแฟร์ “Government Procurement Transformation” ผ่านแนวคิด “ปลดล็อคข้อจำกัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐ” เบิกทางสตาร์ทอัพสู่เส้นทางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สร้างมิติใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางนวัตกรรมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ
ช่วยให้ภาครัฐบริการสาธารณะได้ดีขึ้น ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้สะดวก โดยจัดแสดงนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพที่ประสบความ สำเร็จทางธุรกิจและพร้อมให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชน กว่า 80 ราย ใน 7 โซลูชัน
ตั้งเป้าให้เกิดการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพภายในงาน 1,000 ล้านบาท และเผยเป้าหมายตลาดภาครัฐสำหรับ GovTech สามารถเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (วท.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Government Procurement Transformation “ปลดล็อคข้อจำกัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐ” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 กันยายน ที่ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี กล่าวว่า สิ่งที่วันนี้รัฐบาลให้ความสำคัญคือ การสร้างความพร้อมให้ทุกภาคส่วน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและเอื้อต่อภาคธุรกิจในยุคดิจิทัล
การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และการขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ เพื่อการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย INNOVATION NATION
โดย “นวัตกรรม” เป็นตัวแปรที่ช่วยขยายขีดความสามารถและความคิดสร้างสรรค์จนเกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเล็กๆ ทั่วโลกได้แซงขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจในเวลาสั้นๆ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจเหล่านี้ ก็คือ “สตาร์ทอัพ”
ตลอดระยะเวลา 3-4 ปี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้พัฒนาและส่งเสริมสตาร์ทอัพ เพื่อเป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ และเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ (หรือ GovTech) ที่เริ่มมีการตื่นตัวมากขึ้น เพื่อช่วยให้ภาครัฐบริการสาธารณะได้ดีขึ้น
ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้สะดวก งาน Government Procurement Transformation “ปลดล็อคข้อจำกัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐ” จึงเป็นก้าวเริ่มต้นแรกที่สำคัญของการนำนวัตกรรมของสตาร์ทอัพมาให้ภาครัฐ
ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาข่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานและพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มการลงทุนให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพโดยภาครัฐจะเป็นตัวเร่งการตลาด (Government as a Market Accelerator)
โดยตั้งเป้าให้เกิดการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพเป็นครั้งแรกภายในงานนี้ ไน้อยกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมเผยเป้าหมายตลาดภาครัฐสำหรับสตาร์ทอัพทางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ (หรือ GovTech) สามารถเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท (หรือ 1% ของงบประมาณภาครัฐ)
ด้าน รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยถึงที่มาของการจัดงานว่า ได้ประชุมร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ และหารือแนวทางการจัดงานร่วมกับเลขาธิการ ก.พ.ร. และปลัดกระทรวงต่างๆ ร่วมมือกันเริ่มต้นจัดงานสตาร์อัพแฟร์นี้เป็นครั้งแรก
โดยภายในงานจะมี STARTUP Zone จาก 80 สตาร์ทอัพ จัดแสดงนวัตกรรมที่พร้อมให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชน ใน 7 โซลูชัน ได้แก่ 1. การพัฒนากำลังคนภาครัฐและการสื่อสารนโยบายสาธารณะ 2. การพัฒนาการท่องเที่ยวและส่งเสริมวัฒนธรรมและพื้นที่เรียนรู้ 3. การบริการสาธารณูปโภค 4. การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ 5. รัฐบาลดิจิตอล 6. ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ และ 7) การพัฒนาตลาดในประเทศ
พร้อม Business Matching การให้บริการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพ Procurement Pavilion ให้ความรู้เรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมการสนับสนุนสตาร์ทอัพจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส., การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย EGAT, สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล DGA, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, รพ.อภัยภูเษศ และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA
เวทีการสัมมนา ให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนา GovTech และกรณีประสบความสำเร็จและการให้บริการในโซลูชันต่างๆ โดยสตาร์ทอัพที่มีผลงานกับภาครัฐ และเวทีการแข่งขัน GovTech Awards ชิงความเป็นหนึ่งที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปพร้อมกับรัฐบาล
โดยสตาร์ทอัพมืออาชีพ ใน 3 โจทย์หลัก ได้แก่ 1. Digital Government การบริหารและบริการของภาครัฐ เพื่อบริการประชาชนได้อย่างตรงความต้องการและเข้าถึงได้สะดวกขึ้น ในกลุ่ม G2G : ภาครัฐสู่ภาครัฐ G2B : ภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ G2E : ภาครัฐสู่ภาคข้าราชการและพนักงานของรัฐ
และ G2C : ภาครัฐสู่ประชาชน 2. Ease of Doing Business การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนมีความคล่องตัวและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และ 3. Public Services การบริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านการแพทย์ ด้านอาหาร ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะประกาศผลการแข่งขันในวันสุดท้ายของการจัดงาน
ดร. สุวิทย์ กล่าว่า การดำเนินงานต่อไปในปี พ.ศ. 2562 ถึงเป้าหมายของการพัฒนาสตาร์ทอัพ คือ Thailand: STARTUP NATION ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น STARTUP Global Hub โดยรัฐและประชารัฐจะต้องร่วมกัน ขับเคลื่อนพัฒนานวัตกรรม และผลักดันให้นวัตกรรมไทยขยายการลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศ ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพไทยก้าวข้ามตลาดของไทย 70 ล้านคน ไปสู่ตลาดที่ใหญ่กว่า