เครื่องยนต์ดีเซลส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มเครื่องยนต์รถกระบะและรถบรรทุก ส่วนกลุ่มรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลก็จะเป็นดีเซลสมรรถนะสูงในกลุ่มรถยุโรปเกรดพรีเมียม
ดังนั้นสำหรับตลาดเมืองไทยตัวเลือกของรถยนต์นั่งแบรนด์ญี่ปุ่นในราคาที่จับต้องได้จึงไม่มีเลย จนล่าสุดเมื่อรถครอบครัวยอดฮิตอย่าง Honda CR-V ได้เปิดตัวรุ่นใหม่ และสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดไม่น้อยเพราะมาพร้อมเครื่องยนต์ Diesel 1.6
Honda CR-V Diesel 1.6 4WD คันนี้จึงเป็นรถยนต์อีกคันหนึ่งที่ Thereporter.asia เลือกที่จะนำมาทดสอบ ไม่ใช่เพราะเป็นรถรุ่นใหม่ ไม่ใช่เพราะเป็นที่นิยม แต่เลือกเพราะหัวใจที่นำมาขับเคลื่อนในรถคันนี้มีความน่าสนใจ รวมไปถึงเทคโลยีใหม่ๆ ที่ใส่มาให้ ก็มีความทันสมัยและแปลกใหม่ไม่น้อย และบางเทคโนโลยีมีอยู่ในรถยุโรปชั้นดีเท่านั้น
เริ่มกันที่เครื่องยนต์ก่อนเลย ด้วยนิสัยคนไทยมักจะมองว่าเครื่องยนต์เล็กจะแบกรับน้ำหนักไหวไหม อัตราเร่งจะเป็นอย่างไร และจะประหยัดไหมเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ดีเซลของกระบะบ้าพลังที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป
โดยเครื่องยนต์ตัวนี้เป็น Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 1,597 ซีซี. พร้อมเทคโนโลยี i-DTEC Diesel Turbo ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบCommonrail ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.6 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ พร้อมโหมด Sport และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย
พอเห็นตัวเลขแรงม้าและแรงบิดของเครื่องยนต์ 1.6 ลิตรแล้ว ก็น่าจะหมดข้อกังขาไปได้ว่าแม้จะเครื่องเล็ก แต่ก็เทียบได้กับพวกเครื่องใหญ่กว่าได้สบายๆ และในส่วนการขับจริงก็เป็นไปตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกตัว การขับขี่ทางไกล เครื่องยนต์ตัวนี้ให้อัตราเร่งที่น่าพอใจ แม้จะไม่แรงหลังติดเบาะ
แต่ก็สามารถพาผู้โดยสารตัวใหญ่ๆ (เน้นว่าตัวใหญ่) 4 คนไปได้แบบสบายๆ ยิ่งถ้ารวมน้ำหนักรถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เพิ่มเข้ามาด้วยแล้ว เครื่องซีซีไม่มากตัวนี้ถือว่าให้พลังที่น่าประทับใจเลยทีเดียว อัตราเร่งตั้งแต่ 0-160 ก็มีพลังที่เพียงพอและวิ่งได้อย่างราบรื่น
เช่นเดียวกับการเร่งแซงในขณะที่ขับอยู่ในระดับ 80- 120 ก็ไม่ต้องลุ้น งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับระบบเทอร์โบชาร์จแบบ 2 จังหวะ ที่จะให้แรงบิดทั้งในช่วงความเร็วต่ำสำหรับการออกตัว และในจังหวะที่ต้องเร่งในความเร็วสูง ทำหน้าสอดประสานกันได้อย่างน่าพอใจ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสายเลือดนักสู้ไล่ฟัดชาวบ้านได้แบบดุเดือด เพราะต้องไม่ลืมว่านี่คือรถเอสยูวีแบบครอบครัว เน้นความสะดวกสบายในการเดินทาง ดังนั้นโดยภาพรวมของสมรรถนะนับว่าเป็นที่น่าพอใจ เช่นเดียวกับการตอบสนองของช่วงล่างที่นุ่มสบายกับการใช้งานในเมือง และนุ่มแน่นแบบไม่ย้วยเมื่อใช้ความเร็วสูง เบรคให้ความมั่นใจที่ดีไม่มีอะไรให้ต้องพะวง
ตัดเรื่องคาใจด้านพละกำลังของเครื่องยนต์กันไปแล้ว ทีนี้ก็กลับมาดูกันว่าตัวท๊อปราคา1.699 ล้านนี้ มีเทคโนโลยีอะไรใส่มาให้บ้าง เริ่มจากที่ชอบที่สุดก่อน คือในเรื่องของฝาท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ด้วยระบบ Hands Free Power Tailgate เตะใต้กันชนแบบเพื่อเปิดฝาท้ายได้ โดยไม่ต้องใช้มือ
ซึ่งถือเป็นลูกเล่นของรถยุโรประดับพรีเมียมที่ลูกค้าซีอาร์วีก็มีโอกาสได้สัมผัสกัน นอกจากนี้ยังมีการเปิดล็อกประตูด้วยการจับที่เปิดประตูรถก็จะปลดล็อกให้ และถ้าจะล็อกก็ใช้นิ้วชี้ แตะแถบ 2 ขีดบนมือจับประตู ง่ายและดูไฮโซเข้าไปอีก
Honda Lane Watch ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน เป็นอีกระบบที่ชอบมาก เพราะเวลาเปิดไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือแล้ว กล้องที่ติดตั้งไว้จะแสดงภาพด้านข้างบนหน้าจอแสดงผลที่อยู่ตรงกลาง
ทำให้มุมมองทางด้านซ้ายกว้างขึ้นกว่าการมองกระจกมองข้างธรรมดา เรียกได้ว่าช่วยให้การเลี้ยว เปลี่ยนเลน และการเลาะไปตามซอยเป็นไปได้ด้วยความมั่นใจ และที่สำคัญทำให้เรามองเห็นมอเตอร์โซต์ที่ชอบซอกแซกมาในมุมอับได้ชัดเจนขึ้น
ถ้ายังรู้สึกสบายไม่พอ ก็ลองมาสัมผัสกับความแปลกของเกียร์กันหน่อย CR-V Diesel 1.6 4WD คันนี้ไม่ได้มีคันเกียร์เหมือนรถปกติแบบทั่วไป แต่จะเป็นให้ผู้ขับขี่ใช้การกดปุ่มแทน ซึ่งการใช้งานก็ไม่ยากแต่อาจจะงงในช่วงแรกบ้าง แต่ใช้ไปสักพักก็จะรู้สึกว่าสนุกดี
โดยหลังจากกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วถ้าจะเดินหน้าก็กดที่ตัว D/S และ ถ้าจะเข้าโหมด Sport ก็ต้องกดปุ่ม D/S ซ้ำ ส่วนปุ่ม N ก็คือเกียร์ว่าง และจะจอดก็กด P ส่วนจะถอยหลังนั้นก็จะใช้นิ้วยกสวิตช์ตัว R ขึ้น เพียงแค่นี้ก็เหมือนได้ขับรถของเล่นกันแล้ว
เครื่องเสียงเป็นจอมอนิเตอร์ 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch Screen วิทยุ AM/FM แต่ไม่มีเครื่องเล่น CD มาพร้อม 8 ลำโพง มีช่องเสียบ HDMI 1 ตำแหน่ง และช่องเสียบ USB เพิ่มเป็น 4 ตำแหน่ง เรียกได้ว่าเยอะจนไม่ต้องแย่งกันใช้เลย ระบบรองรับโทรศัพท์เคลื่อนที่และโปรแกรมการสั่งการด้วยเสียง SIRI รองรับ Application Apple Car Play
แต่ในการใช้งานจริงแล้วแค่การเชื่อมต่อระหว่างมือถือกับรถนั้นก็ทำได้ง่ายไม่ยากเย็น แม้จะไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันของแอปเปิลหรือแอนดรอยด์
ด้วยความที่เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ หน้าจอมาตรวัดก็จะเพิ่มภาพกราฟิก แสดงการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตรงกลางทำให้ดูมีลูกเล่นมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control และมีเบรกมือแบบสวิตช์ไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Brake Hold ที่ทำให้เราไม่ต้องมีก้านเบรคมือให้เกะกะ แค่ใช้ปุ่มนี้แทน
นอกจากนี้ยังมีระบบ Auto Hold ที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นมากในช่วงจราจรติดขัด เพราะเมื่อกดปุ่มที่ว่านี้แล้วเมื่อเราเหยียบเบรกเพื่อชะลอจนรถหยุด ระบบเบรกมือจะทำงานให้อัตโนมัติ ไม่ต้องคอยกดคอยปลดบ่อยๆ และถ้าต้องการจะขับต่อก็แค่แตะคันเร่งเพื่อออกตัวก็จะขับต่อไปได้เลยทันที
สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้าเป็นแบบกดเพียงครั้งเดียว กระจกหน้าต่างจะเลื่อนขึ้นหรือลงจนสุด มีมาให้ครบทั้ง 4 บาน เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าพร้อมระบบเตือนคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าให้คาดเข็มขัด ด้วยเสียงพูดเป็นภาษาไทย เบาะคนขับสามารถปรับเอนและเลื่อนขึ้นหน้าถอยหลังได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า 8 ทิศทาง
แถมยังมีสวิตช์ปรับดันหลังเฉพาะเบาะคนขับมาให้ ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านซ้าย ปรับระดับเอน และเลื่อนขึ้นหน้าถอยหลัง ด้วยไฟฟ้า รวม 4 ทิศทาง นอกจากนี้ทางด้านระบบปรับอากาศนั้นก็สามารถแยกอุณหภูมิแยกฝั่งซ้ายขวาได้
มองกันที่ภายนอกกันบ้าง เด่นสุดเห็นจะเป็นชุดไฟหน้าและไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED ดูแล้วทันสมัยไฮเอนด์ขึ้นมามาก แถมด้วยไฟส่องสว่างขณะขับขี่ตอนกลางวัน Daytime Running Light แบบ LED นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมกับระบบ Immobilizer สัญญาณกันขโมย และระบบล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อความเร็วถึงระดับที่ตั้งไว้ พร้อมระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ
สำหรับการเดินทางนั้นนอกจากผู้ขับและผู้โดยสารจะได้รับความสะดวกสบายจากระบบกันสะเทือนที่นุ่มแน่น ไม่นุ่มย้วย ระบบเบรคที่ให้ความมั่นใจได้ดีแล้ว เบาะนั่งในตำแหน่งต่างๆ ถือว่าให้ความสบายได้ดี และมีรูปทรงที่ดูดีมากกว่ารุ่นก่อนๆ การเดินทางไกลให้ความสบายได้ดี
ส่วนเบาะแถวที่ 2 สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อการขนของที่มากขึ้น ส่วนการก้าวเข้าไปนั่งบนเบาะแถว 3 ก็ทำได้ไม่ยาก แค่ปลดล็อก 2 จุดก็จะเข้าไปนั่งแถวที่ 3 ได้ แต่ก็อาจจะต้องใช้แรงเยอะหน่อย และในการเข้าไปนั่งแถวที่ 3 ก็จะเหมาะสำหรับเด็กๆ มากกว่า แต่ก็ไม่ต้องกลัวร้อนเพราะมีช่องแอร์บนเพดานให้ความเย็นสบาย
ในรุ่น Diesel 1.6 Turbo จะเพิ่มปุ่ม Auto Start/Stop ดับเครื่องยนต์เองอัตโนมัติ เมื่อเหยียบเบรกจนสุดขณะจอดติดไฟแดง และจะสั่งติดเครื่องยนต์เองอีกครั้งเมื่อถอนเท้าจากเบรกเพื่อเตรียมเหยียบคันเร่งออก แต่ถ้ารำคาญก็สามารถกดปิดได้
ทั้งนี้สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจอีกอย่างหนึ่งของเกียร์อัตโนมัติรุ่นนี้คือ การปลดเกียร์ว่างที่จะแปลกหน่อย ด้วยความที่ไม่มีคันเกียร์จึงต้องใช้การโยกที่ข้างๆ ขาซ้ายตรงเกียร์ ซึ่งจะมีฝาให้เปิดเพื่อให้เข้าไปโยกคันโยกเล็กด้านใน ซึ่งอาจจะยุ่งยากหน่อยแต่ใช้ๆ ไปเดี๋ยวก็ชิน
ทางด้านความปลอดภัยมาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VSA ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน สัญญาณไฟฉุกเฉินเปิดอัตโนมัติ ESS เมื่อเหยียบเบรกกระทันหัน เข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่งเป็นแบบ ELR 3 จุด
โดยเข็มขัดคู่หน้าจะเป็นแบบลดแรงปะทะและดึงกลับอัตโนมัติ สามารถปรับระดับสูงต่ำได้ ถุงลมนิรภัยมีทั้งหมด 6 ใบ ประกอบด้วยคู่หน้า ด้านข้างคู่หน้า และม่านถุงลมด้านข้าง นอกจากนี้ยังมีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX ที่เบาะแถว 2 และ 3
ถ้ายังรู้สึกปลอดภัยไม่พอก็ยังมีระบบตัวช่วยอย่าง Driver Attention Monitor ซึ่งจะตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ผ่านการควบคุมพวงมาลัย หากพบว่าประสิทธิภาพในการควบคุมรถของผู้ขับขี่ลดน้อยลง ระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอ TFT และเมื่อตรวจพบความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้า ระบบจะเตือนด้วยเสียง และการสั่นเตือนที่พวงมาลัย โดยสามารถตั้งค่าระดับการเตือนได้ 4 ระดับ
ปิดท้ายกันที่อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่มันจะเซนต์ซิทีฟเสมอสำหรับลูกค้าบางกลุ่ม ซึ่งบอกเลยว่า Honda CR-V Diesel 1.6 4WD คันนี้ให้ความประหยัดเป็นที่น่าพอใจสำหรับการเดินทางแบบปกติ เหยียบบ้าง เร่งแซงบ้าง ก็น่าจะได้ประมาณ 15 กิโลเมตรต่อลิตร