ซีพีแรมลงเงิน 500 ล้านบาทจัดตั้ง Food Technology Exchange Center (FTEC) พร้อมยกระดับขีดความสามารถองค์กรใหม่ ด้วยแผน CPRAM Transformation Roadmap
อันประกอบด้วย Organization Transformation, New Business (Vending machine, catering, Digitalization, Robotization และ CPRAM 4.0 โดยจุดที่น่าสนใจที่สุดอยู่ตรงที่การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบการผลิตอัตโนมัติมาร่วมทำงานในโรงงานในจุดที่ทำงานหนักและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ
ในแผนนี้ซีพีแรมจะทำการพัฒนาสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องกว่า 207 SKUs คิดเป็น 23% ของจำนวน SKUs ทั้งหมดที่มีอยู่ และจะผลิต “อาหารท้องถิ่นประจำภาค” หรือ “Local Product” สำหรับคนท้องถิ่นโดยเฉพาะในรูปแบบ “Chilled Food” หรืออาหารแช่เย็นเพิ่มขึ้นด้วย
จากเดิมมีเฉพาะเมนู Nationwide ซึ่งเป็นเมนูทั่วไปขายทั่วประเทศ แต่นับจากนี้จะมีสัดส่วนสินค้าเมนูอาหารท้องถิ่น 25 – 30% และอาหารเมนู Nationwide สัดส่วน 70 – 75%
การยกเครื่ององค์กรดังกล่าวจะมุ่งสู่เป้าหมายยอดขาย 20,000 ล้านบาท ในปี 2019 วางสัดส่วนการต่อยอดขายอาหารพร้อมรับประทาน 65% และเบเกอรี่ 35% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตต่อวันกว่า 650 ตัน ประกอบด้วยอาหารกล่องพร้อมรับประทาน 1.4 ล้านถาดต่อวัน, ติ่มซำและอื่นๆ 3.3 ล้านชิ้นต่อวัน และเบเกอรี่ 3.6 ล้านชิ้นต่อวัน ด้วยผลิตภัณฑ์กว่า 920 SKUs
นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด กล่าวว่า ซีพีแรมพร้อมเดินหน้าพัฒนาศักยภาพมาตรฐานสู่ผู้นำ Food Provider และก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมอาหารของประเทศและในภูมิภาคเอเชีย พร้อมยกระดับขีดความสามารถประเทศไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของภูมิภาคเอเชีย
ปัจจุบันซีพีแรมใช้เงิน 1% ของยอดขายหรือปีละ 150 – 200 ล้านบาท ทุ่มให้กับการวิจัยและพัฒนาให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตนเอง เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ยกระดับองค์กรสู่ CPRAM 4.0 รวมถึงเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน และยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของภูมิภาคเอเซีย
ทั้งนี้ซีพีแรมมีการจำหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศกว่า 20,000 แห่ง รวมถึงส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีโรงงานทั้งสิ้น 7 แห่ง ได้แก่ ปทุมธานี 2 แห่ง, กรุงเทพฯ, ชลบุรี, ขอนแก่น, ลำพูน และสุราษฎร์ธานี
นอกจากเพื่อผลิตสินค้าป้อนให้กับเซเว่นอีเลฟเว่นในแต่ละภูมิภาคแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งของมีโรงงานอยู่ในแต่ละภาคของประเทศไทย จะทำให้ผู้บริโภคแต่ละภูมิภาคของประเทศไทยได้สัมผัสอาหารพร้อมรับประทานในรูปแบบ Chilled Food
“การขยายโรงงานในแต่ละภาค ทำให้สามารถคิดค้นและผลิตอาหารประจำภาค เช่น อาหารประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาหารประจำภาคเหนือ แต่การพัฒนาเมนูอาหารท้องถิ่น จะไม่ได้ไปแข่งกับร้านอาหารพื้นเมือง เพราะถึงอย่างไรร้านอาหารท้องถิ่นจะมีความหลากหลายและอร่อยกว่า
แต่การที่เราพัฒนาเมนูท้องถิ่น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในเวลาดึกที่ไม่มีร้านอาหารเปิดให้บริการแล้ว เป็นการเติมเต็มตลาดของซีพีแรมในต่างจังหวัดด้วย”
ทั้งนี้การมีสินค้าอาหารแช่เย็นจำหน่ายในต่างจังหวัด ยังตอบโจทย์ความเชื่อที่ว่าในปีหน้ากลุ่มสินค้าอาหารแช่เย็น จะเติบโตเร็ว และการพัฒนา “อาหารท้องถิ่น” ของซีพีแรม ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ที่ทำ Product Assortment
โดยแต่ละสาขาแต่ละพื้นที่จำหน่ายสินค้าไม่เหมือนกันทั้ง 100% จะมีความแตกต่างกันในบางส่วน เพื่อ Customize ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในพื้นที่นั้นๆ อีกด้วย
นายวิเศษ กล่าวว่า นอกจากนี้การขยายตลาดของซีพีแรมยังได้ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ มาพัฒนาอาหารสุขภาพและอาหารสำหรับบุคคลเฉพาะกลุ่ม ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างชัดเจนในปี 2019 นอกจากนี้ยังเตรียมเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าอื่นๆ
ซึ่งมีโอกาสทางการตลาดอีกด้วย อาทิ กลุ่มผู้ป่วยหรือมีโรคประจำตัว ซึ่งต้องการการอาหารคุณสมบัติพิเศษ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ต้องการอาหารที่หวานน้อย หรืออาจจะเป็นอาหารมีความหวานปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วอัตราการดูดซึมความหวานต่ำ
ไม่ทำให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายปรับเพิ่มขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่กลุ่มเด็กก็มีความต้องการอาหารเฉพาะที่เหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัยด้วยเช่นกัน
ไม่เพียงแต่เฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การตอบสนองตลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเท่านั้น แต่ซีพีแรมและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ยังได้มองถึงธุรกิจและสังคมที่ต้องร่วมเดินหน้าไปด้วยกัน ด้วยการเน้นความยั่งยืนอาหาร 3 เรื่อง หรือเรียกว่า 3S ทั้ง 3S
ประกอบด้วย FOOD SAFETY, FOOD SECURITY และ FOOD SUSTAINABILITY ซึ่งเป็นความร่วมมือกันทำตลอดห่วงโซ่อุปทานให้กับผู้บริโภคและสังคมเป็นเนื้อเดียวกัน อาทิ โครงการเกษตรกรคู่ชีวิต โครงการปูม้ายั่งยืนคู่ทะเลไทย เป็นต้น
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง