แม้ธุรกิจในภาพรวมของเอปสันขณะนี้รายได้หลักยังคงเป็นอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ และมีส่วนแบ่งในตลาดนี้อยู่ที่ 44% ทิ้งห่างจากเบอร์ 2 ซึ่งมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 24% โดยมีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นพรินเตอร์ 69% โปรเจ็กเตอร์ 20% พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม 10% และโรบอต 1%
แต่เมื่อมาถึงยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การจะเดินหน้ารุกตลาดแบบเดิมอาจจะไม่เพียงพอที่จะเติบโต เอปสันจึงได้ปรับกลยุทธ์พร้อมก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ของวงจรธุรกิจหรือ S-Curve ใหม่ เพื่อสร้างการเติบโต 5 ปีต่อเนื่อง
S-Curve จะมุ่งการสร้างตลาดและขยายฐานลูกค้าให้กับ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทฯ ประกอบด้วย อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูง พรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม เลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูงและหุ่นยนต์แขนกล โดยทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวล้วนแต่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว
และเป็นที่ต้องการอย่างมากในกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งการสร้าง S-Curve ใหม่นั้น เอปสันตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 5% สำหรับประเทศไทยและ 10% สำหรับตลาดต่างประเทศ
“การปรับตัวดังกล่าวเอปสันไม่ได้ทิ้งตลาดคอนซูเมอร์ แต่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ตให้ตอบสนองความต้องการของตลาดองค์กรมากขึ้น โดยมีการกำหนดกลยุทธ์เพื่อผลักดัน S-Curve ใหม่นี้ไว้ 4 ด้าน ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ ช่องทางจัดจำหน่ายและการสื่อสารการตลาด ซึ่งการสร้าง S-Curve ใหม่ทางธุรกิจในปีนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีของบริษัทฯ
เพราะเอปสันมีผลิตภัณฑ์ครบทุกไลน์ และมีจำนวนรุ่นมากเพียงพอที่จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลิตภัณฑ์ทั้ง 4 กลุ่มใน S-Curve ใหม่นี้ล้วนแต่ได้รับความมั่นใจจากลูกค้าในหลากหลายวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทยอยู่แล้ว
ดังนั้นไม่เพียงแต่จะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีได้ แต่ยังจะทำให้มิติทางธุรกิจของเอปสันในประเทศไทยกว้างออกไป และเติบโตมากยิ่งขึ้น”
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันรายได้ในกลุ่ม S-Curve ยังอยู่ที่ 13% แต่หลังจากนี้ 5 ปีข้างหน้าจะขยับขึ้นเป็น 30% โดยกลยุทธ์ทางด้านผลิตภัณฑ์เอปสัน ประเทศไทยมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาทำตลาดมากขึ้น
โดยในกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูง บริษัทฯ จะทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ครบทั้งไลน์อัพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่เอสเอ็มอี โซโหไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าไปแทนที่การใช้งานเลเซอร์พรินเตอร์
ส่วนกลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลายรุ่น ทั้งในกลุ่มโฟโต้ มินิแล็บ อุตสาหกรรมสิ่งทอ หรืองานพิมพ์ป้ายโฆษณาทั้งภายในและภายนอกอาคาร เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมความเร็วสูง ที่สามารถพิมพ์ตรงลงบนผ้าม้วนได้ (Direct to Fabric หรือ DTF)
ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัลที่รองรับการพิมพ์แบบออนดีมานด์ ทั้งยังใช้หมึกพิมพ์ที่สามารถพิมพ์ผ้าได้หลายชนิด และยังช่วยลดการใช้สารเคมีและของเสียในการผลิตลายผ้าได้อย่างมาก
ในขณะที่กลุ่มเลเซอร์โปรเจคเตอร์ เอปสันยังคงให้ความสำคัญ เพราะต้องการรักษาตลาดและตำแหน่งอันดับหนึ่งของตลาดนี้ โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวเลเซอร์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง 20,000 ลูเมน และเลเซอร์โปรเจคเตอร์ ความละเอียดระดับ 4K
สำหรับหุ่นยนต์แขนกล ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำเข้ามาจะมีราคาถูกลงถึง 35% เพื่อรองรับตลาดการศึกษาและเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายเล็กสามารถนำหุ่นยนต์แขนกลเข้าไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมทั้งจะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่สามารถยกวัตถุหรือชิ้นงานที่มีน้ำหนักมากขึ้นได้
“การบริการหลังการขายส่วนสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการขายสินค้า ซึ่งเอปสันได้ให้ความสำคัญอย่างมากในการพัฒนา Service Excellence หรือความเป็นเลิศในการบริการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความพึงพอใจในระดับสูงและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า
จึงได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและพัฒนาการให้บริการ พร้อมติดตามผลการทำงานอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการซ่อมสินค้า
โดยตั้งเป้า 90% จะซ่อมเสร็จภายใน 1-3 วัน นอกจากนี้ยังมีแผนจะลงทุนขยายศูนย์บริการเพิ่มขึ้นจาก 154 แห่ง เป็น 170 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในการให้บริการมากยิ่งขึ้น เพิ่มจำนวนจุดรับสินค้าหรือดรอปพอยท์ในบางจังหวัดด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงพัฒนาระบบการบริหารจัดการและจัดส่งชิ้นส่วนอะไหล่ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น”
นอกจากนี้ยังมีแผนสำหรับการให้บริการลูกค้าองค์กรที่ซื้อผลิตภัณฑ์ใน 4 กลุ่ม S-Curve โดยจัดให้มีบริการดูแลเครื่องถึงสำนักงานของลูกค้าทุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงยังมีทีมงานพิเศษเพื่อมอนิเตอร์การทำงานของเครื่องหรือมีเครื่องสำรองให้ใช้งานแทนในกรณีที่เครื่องลูกค้าที่ใช้งานอยู่เกิดปัญหาขึ้น
รวมไปถึงเอปสันยังลงทุนเพิ่มเติมในส่วนระบบการวิเคราะห์ประมวลผล สำหรับงานด้าน CRM ซึ่งจะสามารถนำข้อมูลและความรู้ด้านต่างๆ จากลูกค้ามาช่วยพัฒนาระบบการให้บริการ
ตั้งแต่ Call Center การจัดการฐานข้อมูลสินค้าและการใช้งาน การบริหารศูนย์บริการและทีมงานบริการนอกสถานที่ รวมถึงฐานข้อมูลการรับประกันสินค้า เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานสินค้าและการบริการหลังการขายที่ดีให้กับลูกค้า
นายยรรยง กล่าวว่า ด้านกลยุทธ์สำหรับช่องทางจำหน่ายสินค้า ในปีนี้เอปสันจะทำการเพิ่มจำนวน Epson Authorized Partner (EAP) สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์และโปรเจคเตอร์เป็น 170 รายทั่วประเทศ
กลุ่มพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเป็น 13 ราย และกลุ่มหุ่นยนต์แขนกลเป็น 10 ราย ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และเจาะเข้าตลาดใหม่ๆ ได้ เช่นเดียวกับทางด้านการสื่อสารการตลาด เอปสันจะมุ่งเน้นด้านการผสมผสานเครื่องมือการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าทำ Technology Showcase เพื่อแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีในกลุ่มต่างๆ ผ่านอีเวนท์ที่สามารถสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในภาคธุรกิจและภาครัฐ
เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เอปสันได้ร่วมกับจังหวัดสุโขทัย ในการจัดแสดงแสงเสียงงานประเพณีลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ โดยนำเลเซอร์โปรเจคเตอร์รุ่น EB-L25000U ที่มีความสว่างสูงถึง 25,000 ลูเมน ไปจัดแสดงเทคนิค Projection Mapping เป็นต้น
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง