CX-5 เป็นรถญี่ปุ่นที่ทำให้รู้สึกว่ามีการออกแบบที่ลงตัวและดูเรียบหรูในแบบฉบับของรถยุโรป หน้ารถดูเคร่งขรึมน่าเกรงขามและมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมาก เช่นเดียวกับเส้นสายด้านข้างที่ดูดีลื่นไหล ไม่ต้องมีเส้นสายมาตัดให้ขัดตา
และที่สำคัญเมื่อได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบด้วยแล้ว อะดรีนาลีนหลั่งหนักมาก ทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวย เพราะไม่คิดว่าดีเซลของรถญี่ปุ่นจะสนุกได้เกือบเทียบเท่ารถยุโรป และใครที่คิดว่าเบนซินขับสนุกกว่าต้องมาลอง
CX-5 แสดงความ Zoom Zoom ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี สรุปก่อนเกิน 8 บรรทัดก็จะบอกว่า นี่คือเอสยูวีดีเซลที่ขับสนุกมาก เหมาะกับครอบครัวเล็กๆ ที่ไม่ได้มีสมาชิกเกิน 5 คนมากนัก
เน้นการท่องเที่ยวแบบสบายๆ ในเมืองหรือจะนอกเมืองที่ไม่ได้ลุยมากมาย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาพร้อม ความปลอดภัยมาให้เต็มที่ และสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลยังได้ความประหยัดเพิ่มเข้าไปอีก
และคิดว่าถ้าไม่จำเป็นต้องขึ้นไปตัวท็อปที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและออปชันหรูกว่ากันนิดหน่อย แต่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 210,000 บาท เลือกรุ่นที่เรานำมาทดสอบนี้ 2.2 XD AT (2WD) ก็เพียงพอ
เทคโนโลยีที่โดดเด่นของมาสด้ารุ่นนี้ ไม่ได้อยู่ที่ซันรูฟไฟฟ้าหรือฝาท้ายไฟฟ้าที่โฆษณาออกมา เพราะแบรนด์อื่นให้มานานแล้ว แถมยังเปิดท้ายด้ายการใช้เท้าแกว่งไปใต้ท้องรถแล้วด้วย หากแต่ว่าอยู่ที่ระบบ G-Vectoring Control (GVC) ที่จะจับองศาการหักพวงมาลัยเวลาเข้าโค้ง และเรียนรู้พฤติกรรมว่าคนขับเหยียบคันเร่งอยู่เท่าไร
เพื่อช่วยปรับเพิ่มหรือลดกำลังของเครื่องยนต์ลง ให้ได้แรงขับที่เหมาะสมต่อการหักเลี้ยวพวงมาลัยในเวลานั้น เรียกได้ว่าจะเข้าโค้งเท่าไรแบบไหน ระบบช่วยเหลือก็พร้อมที่จะช่วยไม่ให้เสียอาการ
ด้วยระบบดังกล่าวนี่เองที่ช่วยทำให้การเข้าโค้งมีความมั่นใจมากขึ้น นอกเหนือไปจากระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS ที่ให้ความมั่นใจได้ในยามฉุกเฉิน
และสำหรับรถราคาระดับ 1.5 ล้าน มีแค่นี้อาจจะดูไม่เพียงพอ มาสด้าจึงได้ทำการเพิ่มระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ABSM : Advanced Blind Spot Monitoring ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA : Rear Cross Traffic Alert
โดยมีเซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า 4 ตำแหน่งและเซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง 4 ตำแหน่ง รวมไปถึงระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน ESS ที่ให้เพิ่มขึ้นมาอีกนอกเหนือไปจากระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA
ส่วนอุปกรณ์ภายในที่เข้ายุคเข้าสมัยไทยแลนด์ 4.0 อย่างจอกลางขนาด 7 นิ้ว แบบทัชสกรีนที่ฝังอยู่บนแดชบอร์ด ซึ่งดูเผินๆ คล้ายหน้าจอรถแบรนด์หรูค่ายยุโรปค่ายหนึ่ง สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวก แต่จะใช้งานไม่ได้ขณะรถวิ่งซึ่งก็เป็นระบบป้องกันเรื่องความปลอดภัย
แต่ถ้าไม่ถนัดที่จะสัมผัสกับจอ ก็หันมาหมุนปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander ที่อยู่ใกล้เกียร์ก็ได้ ซึ่งจริงๆ ก็ใช้งานได้ดีทั้ง 2 ทางเลือก นอกจากนี้เพื่อความสบายมากขึ้นมาสด้ายังได้เพิ่มระบบ Auto Brake Hold ที่ต้องบอกเลยว่าปลื้มกับระบบนี้ค่อนข้างมาก เพราะเราจะไม่ต้องเอาเท้าไปเหยียบเบรครอเวลารถติดอีกต่อไป
เพราะเมื่อเรากดปุ่มนี้เมื่อรถจอดสนิทในเกียร์ D รถก็จะเหมือนจะดึงเบรคมือด้วยตัวเอง ทำให้เรายกเท้าออกจากแป้นเบรกได้ โดยที่รถยังไม่เคลื่อนที่ และถ้ารถขยับเราก็เหยียบคันเร่งเบรคก็จะปลดเอง แล้วเมื่อรถติดอีกทีระบบก็จะทำแบบเดิม สร้างความสบายให้กับการขับขี่ในเมืองได้มากจริงๆ
นอกจากนี้ยังสุนทรีย์กับหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้า Active Head-up Display ที่จะแสดงความเร็วบนกระจกหน้าให้เราเห็น โดยที่ไม่ต้องก้มลงมามอง ถือว่าเป็นของเล่นที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้อีกนิดนึง
ส่วนระบบพื้นๆ ที่ใครๆ ก็มีอย่างการเข้ารถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ การกดปุ่มเพื่อสตาร์ทเครื่องต้องขอข้ามไปก่อนเพราะธรรมดามาก สำหรับยุคนี้ต้องพูดถึงระบบสั่งงานด้วยเสียง Voice Recognition ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ที่ใช้งานง่ายมาก สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้แบบไม่สร้างความหงุดหงิดให้เลย
ฟังเพลงผ่านสมาร์ทโฟนได้แบบสบายๆ ไม่ต้องง้อเครื่องเสียงวิทยุ AM/FM CD MP3 ที่ติดมาให้เลย ส่วนเครื่องเสียงแม้จะให้ลำโพงมาเพียง 6 ตัว ไม่เหมือนตัวท็อปที่ให้มา 10 ตัว ก็ถือว่าให้เสียงใช้ได้ในระดับหนึ่ง สร้างความบันเทิงในการเดินทางได้เป็นอย่างดี
สำหรับโลกยุคใหม่ที่ขาดไฟมาเลี้ยงสมาร์ทโฟนไม่ได้ เจอปลั๊กเป็นต้องปรี่เข้าไปหา มาสด้าก็จัดให้ด้วยช่องชาร์จไฟ 12V 3 ตำแหน่ง ช่องชาร์จไฟ USB 2.1 A 2 ตำแหน่ง ที่พนักวางแขนด้านหลัง นอกจากนี้ยังมีช่องเชื่อมต่อ AUX / USB 2 ตำแหน่ง / SD Card ให้อีกด้วย
ไฮไลต์สำคัญของรถคันนี้อยู่ที่เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 Skyactiv-D เป็นเครื่อง 4 สูบ DOHC Commonrail Direct Injection ขนาด 2.2 ลิตร 2,191 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ 2 Stage ให้กำลังสูงสุด 175 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นเครื่องดีเซลที่ขับสนุกมาก เรียบ ลื่นไหล และเร่งแซงได้ดั่งใจ ซึ่งในบางจังหวะไม่จำเป็นต้องกดคิกดาวน์เพื่อเรียกพลังเลย แค่กดลึกสักนิดก็พุ่งแล้ว
ที่สำคัญขับสนุกกว่าดีเซลของรถยนต์พื้นฐานรถกระบะแบบพีพีวีทุกคัน (เพราะการเซ็ตรถมีความต่างกัน คันนี้เน้นนั่งมากกว่าบรรทุกหนักไม่จำเป็นต้องลากจูงและมีน้ำหนักตัวที่น้อยกว่า จึงเซ็ตมาได้เนียนกว่าลื่นกว่า) การขับขี่แทบไม่แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินเลย
ด้านความสบายในการเดินทางต้องบอกว่า ถ้าจะให้สบายมากๆ นั่ง 4 ที่นั่งนี่จะฟินมาก แต่ถ้ามา 5 คนก็พอไหว ส่วนเบาะหลังแถวที่ 3 ก็จะเหมาะสำหรับเด็กๆ มากกว่า แต่ผู้ใหญ่ก็นั่งได้แต่อาจจะไม่สบายนัก เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง
พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support ระบบบันทึกความจำตำแหน่ง Memory Seat ฝั่งคนขับ 2 ตำแหน่ง ซึ่งต้องบอกว่าอยากให้มาสด้าไปปรับปรุงด้านความสบายเพิ่มสักหน่อย
โดยเฉพาะการซัพพอร์ตบริเวณช่วงไหล่เพิ่มสักหน่อยเพราะยังทำได้ไม่ดีนักเวลาขับนานๆ แล้วจะไม่ค่อยสบาย เมื่อเทียบกับสเปคความเป็นสปอร์ตของรถ ด้านเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง
ส่วนเบาะแถวกลางก็นั่งสบายแต่ก็ไม่ได้มากมายนัก เพราะปรับเอนได้น้อยไปนิด เช่นเดียวกับการเข้าไปนั่งแถวหลังก็ไม่ยากเย็นเท่าใดนักแต่ก็เหมาะกับเด็กเล็กมากกว่า
การตกแต่งภายในภาพรวมก็มาในแนวเรียบหรู ใช้วัสดุที่ดูดีโดยเฉพาะในส่วนของคอนโซลหน้าที่ให้ผิวสัมผัสที่นุ่ม ไม่หยาบกระด้างแบบพลาสติกขึ้นรูปทั่วไป แต่เมื่อดูภาพรวมแล้วคนที่ชอบการออกแบบที่เน้นแพรวพราวสักหน่อยอาจจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนัก
เพราะอาจจะดูเรียบเกินไปจนจืด น่าจะเสริมลูกเล่นมาบ้าง ส่วนทางด้านฝาท้ายนั้นต้องบอกว่าแปลกไปอีกแบบ เพราะแผ่นปิดป้องกันสายตาในส่วนของสัมภาระด้านหลังนั้นจะยึดติดกับฝาท้ายไปเลย
ดังนั้นแผ่นที่ว่านี้ก็จะติดไปทุกครั้งที่เราเปิดฝาท้าย ซึ่งก็ดีที่ไม่ต้องคอยดึงเข้าดึงออกเวลาหยิบของ แต่ก็กลัววันนึงตัวยึดอาจจะเหนื่อยจนพังได้
สำหรับเรื่องที่ขัดอกขัดใจสักหน่อยคือมุมมองด้านท้ายจะดูไม่เข้าพวกเท่าใดนัก ไฟท้ายดูเล็กและแคบ เมื่อเทียบกับการออกแบบที่ทำให้ท้ายดูใหญ่และกลมมน และสำหรับรุ่นที่นำมาขับเป็นรถยนต์ขับเคลื่อน 2 ล้อ เวลากดคันเร่งคิกดาวน์จะมีความรู้สึกแปลกๆ ในด้านพละกำลังเพราะเหมือนจะหน่วงไว้นิดนึง ก่อนที่จะปล่อยออกมาอย่างพรั่งพรู
ซึ่งต้องระวังสักหน่อยและต้องจับพวงมาลัยให้มั่นโดยเฉพาะเวลาหมุนพวงมาลัยไปด้านซ้ายเพื่อแซง ซึ่งแม้จะเป็นอาการแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อการขับขี่มากนัก
ถ้าจะให้สรุปอีกครั้งในภาพรวมก็ต้องบอกว่า CX-5 รุ่น 2.2 XD AT (2WD) ที่ได้นำมาทดสอบกันนี้ มีเครื่องยนต์ที่ตอบสนองดีมาก เหยียบได้อัตราเร่งทุกครั้งที่ใจต้องการ พุ่งและทยานเร็วกว่ารถรถในระดับเดียวกัน และสนุกกว่าพีพีวีพลังแรงทั้งหลาย
เช่นเดียวกับช่วงล่างที่ตอนสนองได้หนึบแน่น และมีระบบช่วยเหลือมากมายทำให้สร้างความมั่นใจได้มาก ด้านการเดินทางไกลก็สร้างความสบายได้ในระดับนึง แต่หากต้องการโดยสารมากๆ คงต้องไปหาคู่แข่งอย่างซีอาร์วี เพราะเบาะนั่งสบายกว่าเกือบทุกตำแหน่งที่นั่ง เหมาะกับครอบครัวที่มีสมาชิกจำนวนมากกว่า