Connected GPS บริหารโลจิสติกส์ได้มากกว่าที่คิด

Connected GPS บริหารโลจิสติกส์ได้มากกว่าที่คิด

 Digital Disruption ไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจผู้ผลิตสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการด้านการขนส่งด้วย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่เรียกว่า Second Party Logistics (2PL) หรือ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ขั้นพื้นฐาน

เพราะเป็นกลุ่มที่เน้นบทบาทในการรับจ้างขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยไม่มุ่งเน้นการจัดการด้านคลังสินค้าและจุดกระจายสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารต้นทุนค่าขนส่ง แต่พบว่าหลายรายยังไม่ได้ทำการปรับตัวเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลง

ในขณะที่ผู้ประกอบการบางกลุ่มได้เริ่มมีการปรับตัวมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้นกว่า 30% โดยกรณีศึกษาของบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ของประเทศไทยพบว่าการติดตั้ง Connected GPS ทำให้บริษัทสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงได้เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์

ด้วยปัจจัยดังกล่าวกรมการขนส่งทางบกจึงได้ออกกฎข้อบังคับให้รถบรรทุกและรถโดยสารสาธารณะทุกคันต้องติดตั้งระบบ Connected GPS ภายในปี 2562 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการเร่งใช้เทคโนโลยีดังกล่าว

นางสาวปิยวดี หงษ์ภักดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ของประเทศไทยเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา มีการติดตั้งระบบแล้วกว่า 30% และยังคงเหลืออีกกว่า 70% ที่จะต้องเร่งดำเนินการติดตั้งระบบ Connected GPS

โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการขนส่งสินค้าเพียงอย่างเดียว ที่จำเป็นที่ต้องเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้าช่วยจัดการงานขนส่ง เพื่อช่วยบริหารด้านต้นทุนขนส่งให้ต่ำลง และลดค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองให้มากที่สุด เพื่อรองรับตลาดโลจิสติกส์ที่กำลังเติบโตในยุคดิจิทัล

เช่น ตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่ส่งผลโดยตรงกับธุรกิจขนส่ง การปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้เทคโนโลยีเข้าสู่รูปแบบ E-Logistics จะนำมาซึ่งโอกาสแก่ผู้ประกอบการขนส่งที่สามารถปรับตัวได้ทัน

Digital Disruption
นางสาวปิยวดี หงษ์ภักดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี

ดังนั้นเพื่อรับมือกับเรื่องดังกล่าว ผู้ประกอบการควรดำเนินการติดตั้ง Connected GPS ที่จะช่วยให้บริษัทสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงได้เกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ ใช้ระบบบริหารจัดการงานขนส่งและวางแผนเส้นทางด้วย Telematics, Internet of Thing (IoT), Big Data Analytics และ Cloud Computing บริหารจัดการธุรกิจ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้นทั้งเวลา ความเร็ว ความถูกต้อง และมีต้นทุนที่ต่ำลง ทั้งยังเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและพฤติกรรม เช่น ประสิทธิภาพในการใช้รถ และพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีที่สามารถป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวปิยวดี กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการ Third Party Logistics (3PL) หรือ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ได้มุ่งเน้นใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ทำให้การจัดการคลังสินค้าและจุดกระจายสินค้าเชื่อมต่อกับกิจกรรมการขนส่งอย่างเป็นระบบด้วยการใช้อินเทอร์เน็ต หรือ IoT

ช่วยให้การจัดการงานโลจิสติกส์ทั้งระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึงการใช้ดิจิทัลช่วยจัดการธุรกิจในพื้นที่ที่ตนเองมีต้นทุนสูงผ่านการทำงานในเครือข่ายพันธมิตร เพื่อลดต้นทุนการขนส่งในส่วนที่จัดการเองได้ยาก ส่งผลให้มีศักยภาพทางธุรกิจมากกว่าผู้ประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีการขนส่งต่ำหรือเน้นการขนส่งแบบดั้งเดิม

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

บริษัท จีไอเอส จำกัด

Related Posts