วีซ่า เผยผลสำรวจ คนไทยกว่า 4 ใน 5 คน มีพฤติกรรมไร้เงินสดในชีวิตประจำวันมากขึ้น หลังความเชื่อมั่นเงินดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2560 อยู่ที่ 50% เพิ่มขึ้นเป็น 78%
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2018 เริ่มเห็นว่าตัวเลขเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลง คนไทยเริ่มกลับมามีแรงจับจ่ายมากขึ้น เราเริ่มเห็นเทคโนโลยี Blockchain และวีซ่าก็เริ่มนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาทำบางส่วนเพื่อเตรียมบริการใหม่ๆ
เราเห็นระบบการชำระเงิน e-payment ใหม่ๆ มีอุปกรณ์ IoT ที่เข้ามาเพิ่มรูปแบบบริการ และยังมีอะไรอีกหลายอย่าง ที่ วีซ่า ก็ยังต้องตั้งเปำที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกรรมทางการเงินให้ได้
ประเทศไทยมีตัวเลขประชากรที่ใช้จ่ายราว 69 ล้านคน มี GDP คิดเป็น 7, 600 บาทต่อปี ซึ่งทั้งหมดชี้ว่าประเทศไทย ยังมีความพร้อมในการเข้าสู่บริการทางการเงินใหม่ๆอยู่ ทำให้ที่ผ่านมาเราก็ได้เปิดบริการโซลูชั่นใหม่ ทั้ง QR Code
การเอาบล็อกเชนเข้ามาช่วยเรื่องการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยมีการทำโครงการร่วมกับ Kbank ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอน Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย
เรามีการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ Warable Devices ต่างๆ นับตั้งแต่การร่วมกับซัมซุง จนปัจจุบันมีความร่วมมือกับ Fitbit ในการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เหล่านี้
ขณะที่ในด้านความปลอดภัยเรามีความร่วมมือกับสมาคมฟินเทคของไทย ทั้งการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้เกิดเป็นมาตรฐานร่วมกัน อีกทั้งยังสนับสนุนให้เกิดสตาร์ทอัพทางการเงินใหม่ๆ ทำให้สตาร์ทอัพสามารถสเกลได้เร็ว เนื่องจากเรามีกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่
ขณะที่ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆในประเทศไทย เราได้ทำการสื่อสารถึงเทรนด์การเงินดิจิทัลระดับโลกให้กับหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวทันโลกการเงินในระดับโลกต่อไป
วันนี้การเงินหรือการทำธุรกรรมดิจิทัลในประเทศไทย เริ่มเกิดขึ้นมากกว่าการซื้อสินค้า เราเริ่มเคยชินกับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของวีซ่า ในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคเกิดความสะดวกมากขึ้น
สังคมไร้เงินสด ในประเทศไทยเกิดขึ้นแล้วหรือยัง?
การสำรวจจากประชากรอาเซียนราว 4,000คนทั่วอาเซียน โดยเป็นคนไทยราว 500 คน ซึ่งพบว่าคนไทยกว่า 57% นิยมทำธุรกรรมการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ แซงหน้าพฤติกรรมการใช้เงินสดที่มีอยู่เพียง 43% เท่านั้น
กระแสของสังคมไร้เงินสดที่แรงขึ้น เกิดจากคนไทยมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ทำให้กล้าใช้เงินดิจิทัลมากขึ้น เป็นผลจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ที่ได้ร่วมกันผลักดันระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
พฤติกรรมการใช้เงินดิจิทัล เริ่มมีการผูกบัตรจ่ายเงิน เข้ากับบัญชีบริการออนไลน์ เราเริ่มเห็นการใช้บริการ Contactless หรือการแตะเพื่อชำระเงิน ในบริการต่างๆมากขึ้น แม้ว่าการใช้เงินสดก็ยังคงเป็นเรื่องหลักอยู่
แน่นอนว่าในประเทศไทย เงินสดยังหาได้ง่าย เรามีตู้เอทีเอ็ม ในการกดเงินสดอยู่เยอะมาก ทำให้กระแสเงินสดยังดีอยู่ ต่างจากต่างประเทศที่เริ่มมีตู้กดเงินสดน้อยลง
ขณะที่ความสะดวกของการใช้บัตรเครดิต และเดบิตการ์ด เริ่มมีความสะดวกมากขึ้น ร้านค้าเริ่มมีการรับชำระเงินมากขึ้น ขณะที่บริการชำระเงินอย่าง พร็อมเพย์ ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ได้รับความนิยมมากขึ้น
อีกทั้งระบบ QR Code ที่ร้านสะดวกซื้อ เริ่มมีการรับชำระเงินมากขึ้น และในส่วนของร้านเล็กๆริมทาง ก็เริ่มมีการรับชำระเงินผ่าน QR Code มากขึ้น
โดยปีที่ผ่านมามีคนไทยไม่ใช้เงินสดราว 51% ขณะที่ปีนี้ กระโดดขึ้นมาอยู่ที่ 78% ซึ่งไม่ต้องใช้เงินสดเลยในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
โดยในปี 2018 มีคนราว 40% ที่บอกว่าอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่ใช้เงินสด ขณะที่การคาดการว่าใน 24 ชั่วโมงข้างหน้าจะไม่ใช้เงินสดเลยมีคนอยู่ราว 60% ที่คิดว่าอยู่ในกลุ่มนี้
วันนี้คนไทยเริ่มมั่นใจในระบบความปลอดภัยมากขึ้น คนเริ่มเข้าใจว่ามีความปลอดภัยมากกว่าเงินสด มีความสะดวกไม่ต้องยืนต่อคิว ขณะที่ด้านความสามารถในการควบคุม เริ่มมีฟีเจอร์ในการควบคุมได้ด้วยตนเอง ผ่านระบบดิจิทัลคอนโทรลได้อย่างสะดวก
ซึ่งในระบบคอนโทรลนี้ สามารถล็อคได้ทั้งวงเงิน ประเภทสินค้า ช่วงเวลา ตลอดจนรูปแบบการจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งผู้ให้บริการทางการเงินจะต้องนำฟีเจอร์เหล่านี้เข้ามาให้บริการกับผู้บริโภคให้ได้
ตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ที่ คนไทยเริ่มมั่นใจกว่า 68% ว่าจะเกิดสังคมไร้เงินสดในประเทศไทยภายใน 7 ปีข้างหน้า โดยกว่า 98% มีการรับรู้ว่าประเทศไทยสามารถจ่ายแบบไร้เงินสดได้แล้ว ซึ่งกว่า47% สนใจที่จะใช้บริการด้วย
อีกทั้งกว่า 94% ได้ทดลองใช้งานไร้เงินสดแล้ว จะเห็นได้ว่าเราเริ่มมีความเคยชินกับการเป็นสังคมไร้เงินสดมากขึ้น เราเริ่มมีการใช้บัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในการผูกบริการมากขึ้น เสมือนการตั้งกระเป๋าสำรองเงิน
ขณะที่กว่า 85% เริ่มมีแนวคิดในการใช้งานเพียงแอปพลิเคชั่นการชำระเงินเพียงแอปเดียว เพื่อชำระเงินในทุกรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับทุกแบรนด์ที่ต้องการเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลให้กับผู้บริโภคเพียงรายเดียว
เทรนด์ของการใช้งาน Contactless บนเทคโนโลยี NFC ในการชำระเงิน ภายใต้สัญลักษณ์รูปคลื่น เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่นี้ ซึ่งตัวเครื่องรับชำระเงิน เริ่มมีการเปลี่ยนในการรองรับบัตรที่มีสัญลักษณ์นี้ล่วงหน้าแล้ว
ขณะที่ในต่างประเทศ เริ่มสามารถนำบัตรสัญลักษณ์นี้ เข้าใช้บริการได้เลย ยกตัวอย่างระบบรถไฟฟ้าของสิงคโปร์ ระบบขนส่งในประเทศอังกฤษ และการชำระเงินของประเทศทางฝั่งยุโรป โดยที่เราไม่ต้องแลกเงินสกุลต่างๆในการเข้าใช้บริการ
และในปี 2018 คนไทยกว่า 90% รับรู้ว่ามีระบบ Contactlessในการขำระเงิน ซึ่งในประเทศไทยมีการชำระเงินเช่นนี้ในร้านแมคโดนัลด์มาสักระยะแล้ว แต่มีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ที่ระบุว่าเคยลองใช้งานแล้ว
ความเชื่อมั่นในระบบ QR Payment
ในปี 2017 การสำรวจว่าคนไทยรับรู้ว่ามีระบบคิวอาร์โค้ดในการชำระเงินราว 74% แต่ในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 93% และมีความสนใจที่จะใช้ในปี 2017 ราว 46% ขณะที่ปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 74% โดยกว่า 35% ระบุว่ามีการใช้งานจริงแล้ว
ขณะที่สัดส่วนของการซื้อของผ่านระบบออนไลน์ มีอยู่ราว 2.88 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่ ใช้ระบบการขำระผ่านการ์ดแทนเงินสดเป็นหลัก อีกทั้งคนไทยกว่า 2 ใน 3 มีความสนใจในการรักษาความปลอดภัยด้วยระบบกายภาพอย่าง Biometric มากขึ้น และกว่า 72% สนใจที่จะลองใช้
ในแง่ของการใช้ในระบบขนส่ง เราเริ่มคิดถึงความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก ในการหาระบบการชำระเงินมาทดแทนการจ่ายด้วยเงินสด โดยราว 53% พบว่าไม่ชอบการชำระเงินแบบเดิมๆ
ขณะที่เมื่อเสนอบริการใหม่โดยที่ยังไม่เห็นภาพ ราว 26% ระบุว่า อยากลองใช้ และกว่า 67% ระบุว่าอยากใช้งาน Contactless ในการชำระเงิน และมั่นใจว่าจะสร้างให้สังคมไทยเกิดสังคมไร้เงินสดได้เร็วขึ้้น
ขณะที่ระบบการขำระค่าทางด่วน วันนี้เราต้องนำเงินไปกองไว้เพื่อเตรียมชำระเงิน แต่ระบบ Contactless จะช่วยให้เราสามารถชำระเงินด้วยการแตะบัตรในช่องชำระเงินสดได้อย่างสะดวกมากขึ้น
อีกทั้งระบบเคาเตอร์ชำระเงินอัตโนมัติ ในการซื้อสินค้า คนไทยก็พร้อมที่จะทดลองใช้บริการใหม่ แม้ว่าความสนใจด้านความปลอดภัยจะยังมีอยู่ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของสถาบันการเงิน ที่จะพัฒนาบริการใหม่ๆที่มีความปลอดภัย มาตอบรับความต้องการของผู้บริโภคให้ได้
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง