เดลล์ อีเอ็มซี ชี้ บิ๊กดาต้าเป็นความท้าทายต่อการปกป้องข้อมูล

เดลล์ อีเอ็มซี ชี้ บิ๊กดาต้าเป็นความท้าทายต่อการปกป้องข้อมูล

เดลล์ อีเอ็มซี ระบุองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (APJ) มีข้อมูลที่เพิ่มเกือบ 5 เท่าของจำนวนข้อมูลที่เคยจัดการในปี 2559 และมีเพียง 13%ของธุรกิจที่จัดอยู่ในกลุ่ม “ผู้นำ” (leaders) ด้านการปกป้องข้อมูล ตามรายงาน ดัชนีการปกป้องข้อมูลระดับโลกของเดลล์ อีเอ็มซี ครั้งที่ 3 (Dell EMC Global Data Protection Index) ด้วยความร่วมมือกับแวนสัน บอร์น (Vanson Bourne)

งานวิจัยซึ่งสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีจำนวนทั้งหมด 2,200 คนจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีพนักงานมากกว่า 250 คนใน 18 ประเทศ และ 11 อุตสาหกรรม เผยให้เห็นถึงสถานะของการปกป้องข้อมูลในกลุ่มองค์กรต่างๆ ในประเทศออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และสิงคโปร์ ท่ามกลางสถานการณ์การเติบโตอย่างมหาศาลในปัจจุบันของข้อมูลภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวดัชนีได้รายงานให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมากมายของปริมาณข้อมูลที่ถูกจัดการ จากจำนวน 1.68 เพตะไบต์ (PB) ในปี 2559 เป็น 8.13 เพตะไบต์ (PB) ในปี 2561 และการเพิ่มขึ้นที่สอดคล้องกันของการความสำคัญของข้อมูลในเชิงธุรกิจ ซึ่งในความเป็นจริง 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองเห็นถึงคุณค่าของข้อมูล และ 35% สามารถสร้างรายได้จากข้อมูลที่มีอยู่

อย่างไรก็ตาม ดัชนียังพบว่าแม้จะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างน่าประทับใจของกลุ่ม “ผู้นำ (จาก 1 %เป็น 13 %( และ “ผู้เริ่มต้น” (adopters) (จาก 8%ขึ้นเป็น 53%) ตั้งแต่ช่วงปี 2559 เป็นต้นมา

ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังคงเผชิญความท้าทายในการหามาตรการด้านการปกป้องข้อมูลที่เหมาะสมพื่อจัดการกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของข้อมูล และการเพิ่มสูงขึ้นของการใช้งานเทคโนโลยีเกิดใหม่ (emerging technologies)
สถานภาพของการปกป้องข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

เหตุการณ์การหยุดชะงักและการสูญหายของข้อมูลที่เกิดขึ้นด้วยระดับความถี่ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกขององค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเน้นให้เห็นชัดถึงความจำป็นที่เร่งด่วนในการจัดการและปกป้องข้อมูลภายในภูมิภาค

โดย 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ประสบกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 76% โดย 32% ในจำนวนนี้ไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้ด้วยโซลูชันปกป้องข้อมูลที่มีอยู่แต่เดิม

แม้ว่าการหยุดทำงาน (downtime) ของระบบที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผนไว้จะสามารถพบได้อยู่บ่อยครั้งกว่า แต่การสูญเสียข้อมูลพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีผลกระทบที่สูงยิ่งกว่านั้นมากนักสำหรับองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค

โดยเฉลี่ยแล้ว การเกิดดาวน์ไทม์ 20 ชั่วโมงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับองค์กรที่เสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจมีมูลค่าโดยรวม 494,869 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่บริษัทที่สูญเสียข้อมูลโดยเฉลี่ยที่ 2.04 เทราไบต์ จะเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจมีมูลค่าโดยรวมสูงถึง 939,703 ดอลลาร์

ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด (time-to-market) และการสูญเสียฐานลูกค้า ยิ่งกว่านั้น ความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักของระบบจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อเทียบกับปี 2559 และปี 2561

ทั้งนี้ 9 ใน 10 ขององค์กรธุรกิจตระหนักถึงคุณค่าของข้อมูล และ 88% ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคระบุว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลอย่างจริงจังมากขึ้น สำหรับประเภทของข้อมูลที่มีมูลค่าในการสร้างรายได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สถานะของการปกป้องข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

โดยธุรกิจมากกว่า 6 ใน 10 (64%) ยังไม่ได้สร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่เป็นข้อมูล และองค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคส่วนใหญ่ยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ล้าหลัง” (laggards) “กำลังประเมิน” (evaluators) หรือ “เริ่มต้นแล้ว” (adopters) ในแง่ของความพร้อมอย่างเต็มที่ (maturity) ในด้านการปกป้องข้อมูล ซึ่งตรงกันข้ามกับการเป็น “ผู้นำ” (leaders)

อเล็กซ์ เลย์ รองประธาน ฝ่ายดาต้า โพรเท็คชั่น โซลูชัน เดลล์ อีเอ็มซี ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค กล่าวว่า “ในปัจจุบัน มูลค่าทางธุรกิจส่วนใหญ่ขององค์กรเชื่อมโยงกับข้อมูลอย่างแยกไม่ออก บริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค อยู่ในสถานะที่มีลักษณะเฉพาะในการที่จะขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง ดูได้จากปริมาณของข้อมูลที่ภูมิภาคนี้ผลิตขึ้นมา”

“องค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ คือกรอบการทำงานด้านการปกป้องข้อมูลที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีความสำคัญออย่างแท้จริงในการที่จะได้รับความไว้วางใจ ความเชื่อมั่นจากลูกค้า”

การเติบโตของข้อมูลและเทคโนโลยีเกิดใหม่ก่อให้เกิดความท้าทาย

องค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคกำลังเผชิญกับความท้าทายในการเลือกโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการที่เหมาะสมในการเผชิญกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของข้อมูล และการนำเทคโนโลยีเกิดใหม่เข้ามาใช้งาน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (94%) พบกับอุปสรรคอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับการปกป้องข้อมูล

โดยความท้าทายในสามอันดับแรกในภูมิภาค ได้แก่

1. 46% – การปกป้องข้อมูลจากการพัฒนาระบบ DevOps และการพัฒนาระบบคลาวด์ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
2. 45.6% – ความซับซ้อนของการกำหนดค่าและฮาร์ดแวร์/ซอฟต์แวร์ปฏิบัติการด้านการปกป้องข้อมูล
3. 43.4% – การขาดโซลูชั่นการปกป้องข้อมูลสำหรับเทคโนโลยีเกิดใหม่

สำหรับผู้ที่ประสบกับความท้าทายในการหาโซลูชั่นการป้องกันข้อมูลที่เพียงพอสำหรับเทคโนโลยีที่ใหม่ว่า มากกว่าครึ่ง (54%) ระบุว่าพวกเขาไม่สามารถหาโซลูชันการปกป้องข้อมูลที่เหมาะสมสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีน
เลิร์นนิ่ง ดาต้าได้ ตามด้วยแอพพลิเคชั่นสำหรับคลาวด์ (49%) และ IoT (40%)

ความท้าทายเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ พร้อมกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคกำลังออยู่ในขั้นเริ่มต้นในการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียง 18%เท่านั้นที่เชื่อว่าโซลูชั่นการป้องกันข้อมูลในปัจจุบันจะสามารถตอบสนองความท้าทายทางธุรกิจในอนาคตได้ทั้งหมด

“เทคโนโลยีเกิดใหม่ขับเคลื่อนโดยข้อมูลกำลังเริ่มที่จะเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจที่แท้จริงให้กับภูมิภาคนี้ องค์กรที่ต้องการเร่งรัดการดำเนินการปฏิรูปไปสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) จำเป็นที่จะต้องมองไปสู่การทำให้การปกป้องข้อมูลให้เกิดขึ้น

เพราะข้อมูลจะเคลื่อนตัวผ่านทุกภาคส่วนของระบบบเครือข่าย ตั้งแต่ที่อุปกรณ์ปลายทาง (edge) ไปสู่ส่วนกลางที่เป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ (core) ไปจนกระทั่งเข้าสู่ระบบคลาวด์ (cloud) กลยุทธ์ด้านข้อมูลของบริษัทธุรกิจ จึงยิ่งทวีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากต้องดำเนินการ

เพื่อให้สอดคล้องกับตามความต้องการด้านการจัดการข้อมูล การกำกับดูแล การรักษาความปลอดภัย และความสามารถในการเข้าถึงอย่างครอบคลุมทั่วทั้งโครงสร้างพื้นฐานแบบมัลติ-คลาวด์ ทั้ง Off-premise และ On-premise ไพรเวท คลาวด์ และพับลิค คลาวด์

และเมื่อผลักความท้าทายออกไป โอกาสในการสร้างรายได้จากข้อมูล และข้อมูลในเชิงลึกถือได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับองค์กรที่พร้อมเดินหน้าในการปฏิรูป” เลย์ กล่าวเพิ่มเติม

คลาวด์กำลังเปลี่ยนภาพการปกป้องข้อมูล

เทคโนโลยีคลาวด์กำลังกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของแนวการปกป้องข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค จากข้อมูลของดัชนี การใช้งานพับลิค คลาวด์เพิ่มขึ้นจาก 27% ของสภาพแวดล้อมทางด้านไอทีทั้งหมดขององค์กรธุรกิจ ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามในปี 2559 ขึ้นมาเป็น 41%ในปี 2561

และเกือบทุกองค์กร (99%) ที่ใช้พับลิค คลาวด์ ต่างเพิ่มขีดความสามารถของคลาวด์ใ ห้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการป้องกันข้อมูล โดยกรณีใช้งานอันดับต้นๆ สำหรับการปกป้องข้อมูลภายในพับลิค คลาวด์ ยังรวมไปถึงการบริการสำรองข้อมูล/การทำสแน็ปช็อตเพื่อปกป้องเวิร์คโหลดและซอฟต์แวร์ป้องกันข้อมูลที่เปิดใช้งานบนคลาวด์

การค้นพบนี้ยังชี้ให้เห็นว่าการปกป้องปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นในระบบคลาวด์คือประเด็นสำคัญสำหรับผู้นำทางธุรกิจ โดยมากกว่า 6 ใน 10 ถือว่าตัวเลือกที่สามารถปรับขยายขนาดได้ของโซลูชั่นการปกป้องข้อมูลมีความสำคัญในการคาดการณ์ปริมาณงานคลาวด์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

กฎระเบียบถูกจัดไว้ในลำดับล่างของรายการที่ลำดับความสำคัญ

นอกจากนี้ ดัชนียังแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติตามกฎระเบียบการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ อาทิ General Data Protection Regulation หรือ GDPR ของสหภาพยุโรป ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค การปฏิบัติตามกฎระเบียบนั้นถูกจัดไว้ในอันดับที่หกในรายการด้านความท้าทายการปกป้องข้อมูลสูงสุด ด้วยจำนวนเพียง 36%ของผู้ตอบแบบสอบถาม

และทัศนคติดังกล่าวกำลังแปลงมาสู่ความเป็นจริง เนื่องจากมีเพียงประมาณหนึ่งในสาม (34%) ที่มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ากระบวนการ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการปกป้องข้อมูลในปัจจุบันขององค์กรสอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับของภูมิภาค

ด้านเจมส์ ไมสแตคีดีส ผู้บริหารกลุ่ม Macquarie Telecom กล่าวว่า “ส่วนประกอบที่สำคัญในการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าคือการให้การปกป้องข้อมูลของพวกเขา

ในวันนี้ ข้อมูลต้องการลำดับชั้นของการปกป้องที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่การสำรองข้อมูลและการกู้คืน ไปจนถึงความคงทนและความยืดหยุ่นต่อการโจมตีบนไซเบอร์ (cyber resilience) และการปฏิบัติตาม การมีพันธมิตรด้านเทคโนโลยีหนึ่งราย เราสามารถไว้วางใจได้ด้วยทุกๆ กิโลไบต์ของข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งต่อเราและต่อลูกค้าของเรา”

เดลล์ อีเอ็มซี

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

เดลล์ อีเอ็มซี ประเทศไทย

Related Posts