ฟิตบิท เปิดตัวสมาร์ทวอช์ท 4 รุ่นใหม่ Fitbit Versa Lite Edition, Fitbit Inspire, Fitbit Inspire HR และ Fitbit Ace 2 ในราคาเอื้อมถึง ตั้งเป้าดึงคนทุกกลุ่มเข้ามาลองใช้ ชูความเป็นโซลูชั่นครบครันด้านสุขภาพ ที่ตอบโจทย์ไลฟสไตล์ได้อย่างลงตัว
นายหลุย ไล ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน เปิดเผยว่า วันนี้แบรนด์ ฟิตบิทขายอุปกรณ์ทั่วโลกไปแล้วกว่า 90 ล้านชิ้น ซึ่งเมื่อเดือน กพ.ที่ผ่านมา มีการประกาศยอดจำหน่ายของปี 2561 อยู่ที่ราว 1. 5 พันล้านเหรียญ ขณะที่เอเชียแปซิฟิค อยู่ที่ราว 165 ล้านเหรียญ เติบโตขึ้น 31%
เราเป็นแบรนด์อันดับ 2 ของโลก และเชื่อว่า คนซื้อฟิตบิทไม่ใช่แค่ต้องการร่างกายที่สวยงาม แต่ต้องการสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น เราไม่ใช่แค่อุปกรณ์ แต่เป็นโซลูชั่นเพื่อการรักษาสุขภาพที่ครบถ้วน
สามารถข่วยให้ผู้ที่รักสุขภาพ ดูแลสุขภาพได้ง่ายขึ้น สามารถเข้าใจตัวเองแม้กระทั่งการนอนของตนเอง เพื่อการปรับเปลี่ยนให้เกิดสุขภาพที่ดีที่สุดได้
ซึ่งเกิดจากการรวมความสามารถของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วย แล้วแปลผลลัพธ์ออกมาเป็นสิ่งที่ผู้ที่รักสุขภาพต้องการ
การใช้โซลูชั่นของฟิตบิท ตามคำแนะนำที่เกิดขึ้น มีลูกค้ารายหนึ่ง สามารถลดน้ำหนักจาก 133.81 เหลือเพียง 68 กิโลกรัม จากการทำตามคำแนะนำ และสร้างความท้าทายในการรักษาสุขภาพตลอดเวลา
บางคนสามารถล่วงรู้ว่ามีภาวะอัตราการเต้นหัวใจผิดปรกติ ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จำเป็นต้องทำการผ่าตัดด่วน จากการใส่ฟิตบิทตลอดเวลา แล้วได้รับการแจ้งเตือนอย่างสม่ำเสมอในขณะนอนและตื่น ทำให้รู้สภาพร่างกายที่ผิดปรกติได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ 73 %ของผู้ใช้ ฟิตบิท ลดน้ำหนักได้จริง มีการเดินจำนวนก้าวมากขึ้นตอบรับการท้ายทาย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องของโซลูชั่นที่ช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างดี
โซลูชั่นของฟิตบิท มุ่งเป้าไปที่ข้อมูลของการดูแลสุขภาพให้มีประสิทธิภาพที่สุด เราเน้นที่เรื่องของสุขภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องของการดูแลสุขพาพความอ้วน เบาหวาน นอนไม่หลับ และความเครียดมากขึ้น
โดยตั้งเป้าหมายที่จะสร้างรายได้จากกลุ่มสุขภาพไว้กว่า 100 ล้านเหรียญ ซึ่งคาดว่าจะร่วมมือกับกลุ่มวิจัยและดูแลสุขภาพทั่วโลก เพื่อบรรลุเป้าหมายการดูแลสุขภาพดังกล่าว
เราอยากเข้าถึงลูกค้ากลุ่มที่ยังไม่เคยใส่ฟิตบิท ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะมีปัจจัยที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของแบรนด์ดิ้ง รูปลักษณ์ของสินค้า การใช้งานที่ง่าย และราคาที่เข้าถึงได้ ตรงตามแนวคิด Fit For Everybody

โดยสินค้าตัวแรกที่เปิดตัววันนี้เป็น Fitbit Versa Lite Edition ซึ่งเข้ามาตอบโจทย์ กลุ่มคนที่สดใส มีไลฟ์สไลต์คนเมือง ที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ รองรับการใช้งานได้กว่า 4วัน สามารถใช้ได้กับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์และไอโอเอส
Versa Lite ยังคงอัดแน่นด้วยคุณสมบัติที่ไม่แตกต่างจากรุ่นใหญ่อย่าง Versa และ Versa Special Edition ซึ่งมีเพียงในส่วนของระบบชำระเงิน และพื้นที่เก็บเพลงเท่านั้นที่ถูกตัดออกไป
โดยมีให้เลือก 5 สี สนนราคา 6,690 บาท พร้อมอุปกรณ์เสริมในการเปลี่ยนสาย เริ่มตั้งแต่ 1,990 บาท เท่านั้น

ขณะที่รุ่น Insprie และ Inspire HR สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ มีแรงจูงใจบางอย่างที่ต้องการดูแลสุขภาพ เหมือนตัวอย่างการลดน้ำหนักด้านบน
จากการทำวิจัย การออกแบบที่บางเบา และหน้าจอทัชสกรีน ยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ รวมทั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของผู้ใช้ ก็ยังเป็นความสำคัญที่ไม่แพ้กัน

ความแตกต่างของทั้ง 2รุ่น มีต่างกันเพียงความสามารถในการวัด อัตราการเต้นของหัวใจ และในการออกแบบของฟิตบิท สามารถติตตามและประเมินพฤติกรรมที่ถูกต้อง พร้อมตั้วเป้าการเบิร์นตามแคลอรี่ที่กินเข้าไปได้
โดยการชาร์จ 1 ครั้ง สามารถใช้งานได้นาน 6 วัน ซึ่งราคาของรุ่นที่ไม่มีวัดอัตราการเต้นหัวใจ อยู่ที่ 2,890 บาท ขณะที่รุ่น HR จำหน่ายที่ราคา 3,790 บาท

และสุดท้ายรุ่นที่คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ราวไตรมาส 2 คือรุ่น Fitbit Ace 2 ซึ่งเหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่ 6 -13 ขวบ ใข้งานได้นาน 5 วัน กันน้ำและกันกระแทก เหมาะกับกิจกรรมของเด็ก พร้อมแอคเคาท์ที่สามารถใช้งานร่วมกับครอบครัวได้
Fitbit Ace 2 มาพร้อม 2 สี สดใส แดง-เขียว และ น้ำเงิน-เหลือง ซึ่งภายในเครื่องจะมีอวาตาร์เป็นกราฟฟิก และเมื่อมีกิจกรรมเกิดขึ้นจะทำให้ตัวอวาตาร์เติบโตขึ้นตามปริมาณกิจกรรม เป็นการกระตุ้นให้เด็กทำกิจกรรมมากขึ้น
ตอนนี้เรามีฟิตบิท ที่เหมาะสมกับทุกคนทุกระดับแล้ว เชื่อว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สุขภาพของผู้คนบนโลกนี้ดีขึ้น โดยสามารถเลือกซื้อได้ตามความต้องการแล้ววันนี้ ในร้านค้าตัวแทนจำหน่ายชั้นนำ