การคุกคามทางเพศหรือ Sexual Harassment อาจจะเป็นเรื่องหลายคนมองข้ามไป เพราะคิดแต่เพียงว่าจำเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัวกันก่อน แต่ในความเป็นจริงแล้วการคุกคามทางเพศ อาจจะมาจากคำพูดแทะโลม พูดเหยียดเพศ ตลอดจนการกระทำที่ทำให้รู้สึกถึงความไม่สบายใจ
ซึ่งทั้งหมดอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานและประสิทธิภาพของงานที่จะออกมาได้ โดยที่ผ่านมาผู้ที่ถูกล่วงละเมิดมักจะไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟังเนื่องจากอาย หรือไม่ผู้ที่ล่วงละเมิดก็เป็นระดับหัวหน้าที่สามารถส่งผลกระทบถึงหน้าที่การงานได้
นางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์. ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคมองเห็นถึงความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคเท่าเทียม จึงได้ตั้งกฏห้ามคุกคามทางเพศทุกรูปแบบในบริษัท และจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลในเรื่องดังกล่าว
โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งพนักงานสามารถร้องเรียนได้ถ้ารู้สึกว่าได้รับผลกระทบจากการคุกคามทางเพศในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้สามารถทำงานด้วยความสบายใจและมีความสุข
นอกจากนี้ด้วยความที่พนักงานของดีแทคมีความหลากหลายทางเพศ จึงเห็นความแตกต่างทางเพศมาก เราจึงมีแคมเปญ Respects the difference ที่ทุกคนจะได้เรียนเรื่องความหลากหลายมางเพศ รวมถึงระดับหัวหน้าที่จะต้องเรียนรู้เรื่องนี้เพื่อให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีการแบ่งแยก ซึ่งในกฏของการคุกคามทางเพศนั้นก็นับรวมถึงการหยอกล้อ การล้อเลียนกับพนักงานในกลุ่ม LGBT เช่นเดียวกัน
“ในการทำงานทุกวันนี้พนักงานในกลุ่ม LGBT จะมีสัดส่วนมากขึ้นในทุกบริษัท ดังนั้นการดำเนินการเพื่อลดการคุกคามทางเพศจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างสบายใจ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว การเปิดรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศยังจะช่วยเพิ่มให้องค์กรมีคนที่มีความรู้สามารถและคนเก่งเพิ่มได้อีกด้วย ต่างจากบริษัทที่ไม่เปิดรับคนกลุ่มนี้ซึ่งอาจจะพลาดได้คนที่มีความสามารถพิเศษเข้ามาร่วมงาน”
นางอรอุมา กล่าวว่า ในส่วนของการใช้เทคโนโลยีต่อการพัฒนาสังคมนั้น ล่าสุดดีแทคได้ต่อยอดโครงการ “พลิกไทย” ผ่านแชทบอท My Sis เป็นบริการที่ได้รับการยอดมาจากโครงการโปลิศน้อย เพื่อนหุ่นยนต์เพื่อผู้หญิง 1 ใน 10 โครงการได้รับการสนับสนุนเงินทุนภายใต้โครงการพลิกไทยโดยดีแทคที่ดำเนินงานระหว่างปี 2560-2561
ซึ่ง My Sis พัฒนาโดยโอเพ่นดรีม บริการแชทบอทให้คำปรึกษาผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ชูจุดเด่น “ใช้ง่าย เข้าใจง่าย ให้ทางออก” เพื่อช่วยเหยื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมมากขึ้น หลังจากพบกว่าปัจจุบันความรุนแรงในครอบครัวไทยพุ่ง 2 เท่าในรอบ 10 ปี เหยื่อ 90% เลือกไม่แจ้งความ
นางสาวพัชรากรณ์ ปันสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเพ่นดรีม จำกัด กล่าวว่า My Sis เป็นแชทบอทที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการช่วยให้เหยื่อหรือผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เปรียบเหมือนกับพี่สาวหรือเพื่อนที่พร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม. โดยทำหน้าที่รับฟังและให้คำปรึกษาในเบื้องต้น ใช้งานง่าย
โดยเนื้อหาจะครอบคลุม 4 ประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ได้แก่ การถูกทำร้าย การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมหรือไม่ได้ตั้งใจ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการให้ความรู้เบื้องต้น นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการให้กำลังใจ ซึ่งช่วยทำให้ผู้ประสบเหตุสามารถเอาตัวรอดได้และมีที่พึ่ง
ปัจจุบัน My Sis ยังอยู่ในขั้นการทดลอง (BETA) ซึ่งยังเป็นในรูปแบบการเลือกคำตอบ ซึ่งต่อไปจะพัฒนาสู่การถามตอบแบบข้อความ (Free Text) ซึ่งจะทำให้การสนทนาระหว่างเหยื่อและ My Sis เป็นธรรมชาติและตรงประเด็น ซึ่งความท้าทายของการพัฒนาแชทบอท My Sis คือ ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมยังไม่แพร่หลาย
การออกแบบบทสนทนาและคำตอบต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อน ซึ่งต้องได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้หากมีผู้ใช้งานมากขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งเพิ่มความแม่นยำของคำตอบด้วย ทั้งนี้การใช้งานจะมุ่งไปสู่การหาทางออกให้แก่ผู้รับคำปรึกษา (Solutions)
“My Sis เป็นการใช้เอไอสอบสวนเรื่องการข่มขืนแทนคน โดยจะเริ่มนำไปทดลองใช้กับสถานีตำรวจในพื้นที่พัทยาหรือระยอง เนื่องจากมีแรงงานต่างด้าวเยอะและเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงมีเรื่องการคุกคามทางเพศบ่อย ซึ่งผู้ที่ถูกคุกคามจะพูดคุยกับแชทบอทเหมือนเป็นการให้ปากคำ และจะใช้การให้ปากคำนี้เป็นหลักฐานสำคัญประกอบสำนวนการสอบสวน
ซึ่งหลังจากทดลองใช้พบว่ามีผู้เข้ามาใช้งานในหลักแสนราย และในอนาคตจะดึงให้ผู้ชายเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้มีส่วนในการช่วยเหลือไม่ใช่เพิกเฉย เพราะปัจจุบันปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน”
ทั้งนี้อัตราการเกิดความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ 80-90% ของเหยื่อเลือกที่จะไม่เจ้งความหรือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำหรับเหยื่อหรือผู้ประสบเหตุความรุนแรงในครอบครัวมีอายุตั้งแต่ 5-90 ปี
แต่ 60% ของผู้ประสบเหตุความรุนแรงในครอบครัวมีอายุ 5-20 ปี ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อนได้ว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องของทุกคน ดังนั้นการทำให้ผู้ประสบเหตุเข้ากระบวนการยุติธรรมได้ง่ายขึ้น จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ด้านพ.ต.ท.หญิง เพรียบพร้อม เมฆิยานนท์ ผู้ริเริ่มโครงการแชทบอทเพื่อลดความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า เนื้อหาที่ป้อนให้กับแชทบอทนั้นเป็นข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและสากล ซึ่งหลีกเลี่ยงคำถามที่อาจซ้ำเติมผู้ประสบเหตุ และทำให้เรื่องของกฎหมายเข้าใจง่ายมากขึ้น
เพราะสิ่งที่ผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต้องการ ไม่ใช่ความคิดเห็นหรือคำตัดสินว่าสิ่งที่กระทำนั้นถูกหรือผิด แต่ต้องการเพื่อนที่สามารถรับฟังเรื่องราว ให้คำปรึกษาและช่วยหาทางออกต่อสถานการณ์ที่พบเจอมากกว่า ซึ่งเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าแชทบอทจะเข้ามาช่วยให้เหยื่อเข้าถึงกระบวนการทางยุติธรรมมากขึ้น ถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งของเทคโนโลยีในงานด้านยุติธรรม
นอกจากการพัฒนาแชทบอท My Sis แล้ว ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็กำลังรณรงค์เปลี่ยนแปลงทัศนคติและมุมมองปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวผ่านแคมเปญ #standbyme เพื่อสร้างการตระหนักรู้ว่า ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องของคนในครอบครัวเท่านั้น
แต่เพื่อนหรือผู้พบเห็นก็สามารถร่วมแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน สำหรับผู้ประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว สามารถเข้ามาใช้งาน My Sis โดยปรึกษาผ่าน Facebook Messenger “มายซิส My Sis bot”
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง