กสิกรไทยเปิด KATALYST ดันสตาร์ทอัพไทยไปถึงฝัน

กสิกรไทยเปิด KATALYST ดันสตาร์ทอัพไทยไปถึงฝัน

กสิกรไทย เปิดตัวโครงการ KATALYST เร่งศักยภาพสตาร์ทอัพไทยที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจขยายธุรกิจ และมีแนวทางไปในทิศทางเดียวกับกลยุทธ์องค์กรของธนาคาร ร่วมกันสร้างคุณค่าทางธุรกิจ ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ ให้คำปรึกษา และสนับสนุนจากฝ่ายงานธนาคารและพันธมิตร

เพื่อนำมาใช้งานต่อยอดทางธุรกิจร่วมกัน ด้วยเครื่องมือและโซลูชันที่หลากหลาย พร้อมสร้างโอกาสขยายเงินทุนผ่านพันธมิตรอย่าง บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล และขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศผ่าน เควิชั่น บริษัทด้านการลงทุนสตาร์ทอัพและแสวงหานวัตกรรมในระดับภูมิภาค

ปัจจุบันไทยมีสตาร์ทอัพกว่า 600 รายที่มาลงทะเบียนกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA มีสตาร์ทอัพที่มีผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนในปี 2560 จำนวน 31 ราย เป็นเงิน 106.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,350 ล้านบาท

และในปี 2561 มีสตาร์ทอัพที่มีผู้ร่วมลงทุน 35 ราย เป็นเงิน 61.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,933 ล้านบาท จะเห็นว่ามีแนวโน้มที่ชะลอลง เนื่องจากสตาร์ทอัพไทยยังเติบโตไม่ทัน จึงเป็นที่มาของ KATALYST เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทที่พร้อมให้คำแนะนำแก่สตาร์ทอัพในด้านต่างๆ

KATALYST

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาได้ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถนำพาธุรกิจให้อยู่รอดหรือเติบโตต่อไปได้ ทำให้สตาร์ทอัพมากกว่า 90% ยังไม่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ

และนับวันจะมีช่องว่างให้สตาร์ทอัพน้องใหม่เบียดเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ยากขึ้น เนื่องจากผู้เล่นรายเดิมหรือผู้เล่นรายใหญ่มีการจับมือและพัฒนาศักยภาพของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อปกป้องและขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น

ธนาคารกสิกรไทยจึงริเริ่มโครงการ KATALYST เพื่อช่วยสตาร์ทอัพที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจขยายธุรกิจ และมีแนวทางการดำเนินธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกับกลยุทธ์ของธนาคารหรือลูกค้า พันธมิตรของธนาคาร สามารถอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้

ด้านนายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สตาร์ทอัพทั่วโลกมักจะประสบปัญหาในการจัดการธุรกิจคล้าย ๆ กัน คือ ไม่มีตลาดรองรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ขาดเงินทุน ขาดทีมงานที่มีคุณภาพ ปัญหาด้านคู่แข่ง การจัดการต้นทุนและราคา คุณภาพผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่ตรงกับความต้องการ

ขาดประสบการณ์ในการจัดการธุรกิจและการตลาด ฯลฯ ซึ่งธนาคารหวังว่าโครงการนี้ จะเข้ามาช่วยพัฒนาและต่อยอดสตาร์ทอัพให้มีศักยภาพมากขึ้น สามารถดึงดูดเงินทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อยกระดับเป็นสตาร์ทอัพระดับภูมิภาคหรือระดับโลก ต่อไปในอนาคต

KATALYST

“เราพร้อมจะให้คำแนะนำแก่สตาร์ทอัพในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าของธนาคาร และมีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจ โดยไม่จำกัดกลุ่มอุตสาหกรรม เข้ามารับคำปรึกษาแบบเฉพาะเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ จากภายในและภายนอกองค์กร

สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับโอกาสเข้าร่วมทำแคมเปญกับทางธนาคารที่มีฐานลูกค้ากว่า 14.5 ล้านราย โอกาสขยายเงินทุนผ่านบริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และขยายฐานธุรกิจในต่างประเทศผ่านบริษัท เควิชั่น จำกัด บริษัทด้านการลงทุนสตาร์ทอัพและแสวงหานวัตกรรมในระดับภูมิภาคของธนาคารกสิกรไทย”

นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการหาโซลูชันด้านการชำระเงินร่วมกัน รวมถึงการได้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากทางธนาคาร และกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เช่น โซลูชัน FastPay ระบบส่งยอดค้างจ่ายในระบบ FlowAccount ไปยังแอปพลิเคชัน K PLUS SME ของธนาคาร

เพื่อชำระยอดค้างจ่ายที่ทำให้การจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย รวมถึงโอกาสในการเดินทางไปศึกษาดูงานกับบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้พร้อมขยายฐานธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ

การรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจาก Baker McKenzie และร่วมพบปะผู้บริหารจากธนาคารและบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจของสตาร์ทอัพ

นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด กล่าวว่า บีคอน วีซี บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย พร้อมลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ที่

สอดคล้องและสามารถรองรับแผนยุทธศาสตร์ของธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยจะช่วยเหลือและสนับสนุนสตาร์ทอัพที่เข้ามาในโครงการ KATALYST ในการให้คำแนะนำและปรึกษาด้านของการลงทุน

อีกทั้งโครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับบีคอน วีซี เองในการเฟ้นหา Seed Funding ให้กับสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเพิ่มเข้ามาใน Portfolio ของบีคอน วีซีอีกด้วย

โดยปัจจุบันได้ทำการลงทุนไปแล้วทั้งหมด 7 บริษัท ได้แก่ FlowAccount, Ookbee, Eventpop, Grab, InstaReM, Jitta และ Horganice และคาดว่าจะมีโอกาสได้ลงทุนในสตาร์ทอัพจากโครงการนี้ปีละ 2-3 ราย

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง

ธนาคารกสิกรไทย

Related Posts