ใครจะรู้ว่าจุดกำเนิด Mercedes-AMG รถยนต์สมรรถนะสูงจะเกิดจากโรงโม่แป้งเก่า ณ เมืองเบิร์กชตาร์ล (Burgstall) ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงปรับแต่งรถแห่งแรก เกิดขึ้นจากความรักและความหลงใหลในกีฬามอเตอร์สปอร์ต ของ นายฮานส์ แวเนอร์ อาวฟเรชท์ (Hans-Werner Aufrecht) และนายแอร์ฮาร์ด เมลเชอร์ (Erhard Melcher) ในปี 1967 โดยโรงโม่แป้งนี้ใช้ชื่อว่า “ศูนย์วิศวกรรม ออกแบบ และทดสอบเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการแข่งขัน – engineering office and design and testing centre for the development of racing engines”
ส่วนตัวอักษร AMG นั้นมาจากคำว่า “อาวฟเรชท์ และเมลเชอร์ จากหมู่บ้านโกรซาชปาค – Aufrecht and Melcher, Groaspach” ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าวนี้เป็นสถานที่เกิดของมร.อาวฟเรชท์ และจากนั้นก็เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีได้รับการยอมรับในฐานะแบรนด์ รถสปอร์ตระดับแถวหน้าของโลก ที่โดดเด่นทั้งในด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ต และด้านการพัฒนารถยนต์ที่มีเอกลักษณ์
ปัจจุบัน Mercedes-AMG มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองอัฟฟาวเตอร์บาคประเทศเยอรมนี ถือเป็นบริษัทลูกของกลุ่มเดมเลอร์ เอจี และดำเนินงานโดยยึดถือหลักการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สามารถ “ขับเคลื่อนทุกสมรรถนะ – Driving Performance” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ต้องมีทั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เต็มเปี่ยมด้วยนวัตกรรมเพื่อมอบความโฉบเฉี่ยว และเร้าอารมณ์ให้กับผู้ขับขี่ ซึ่งสิ่งที่ทำให้แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีมีความพิเศษและแตกต่างไม่เหมือนใคร คือการใช้ปรัชญาการผลิตเครื่องยนต์ทุกเครื่อง แบบ “1 ช่างฝีมือ ต่อเครื่องยนต์ 1 เครื่อง – one man, one engine”
“เครื่องยนต์ของรถยนต์ เมอร์เซเดส- เอเอ็มจีแต่ละคันจะผลิตด้วยมือและใช้ช่างฝีมือเพียง 1 คนเท่านั้นตลอดกระบวนการประกอบ และในขั้นตอนสุดท้าย ช่างฝีมือที่ประกอบเครื่องยนต์แต่ละเครื่องจะเซ็นชื่อของตนลงบนแผ่นโลหะที่ติดอยู่บนฝาครอบเครื่องยนต์เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อทำการให้การปรับแต่งรถยนต์คันดังกล่าวมีความเสถียรเพราะทุกขั้นตอนทำด้วยคนเดิมที่รู้ทุกอย่างเพียงคนเดียว จึงทำให้เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีได้รับความนิยมจากทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง มียอดขายที่สูงถึงหกหลักในปี 2560 และ 2561 มียอดขายรวมถึง 118000 คันในปี โดยมีตลาดหลักอยู่ในอเมริกา ตะวันออกกลาง ยุโรปและญี่ปุ่น”
สำหรับเมืองไทยแบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน ปี 2560 ด้วยการเปิดตัว ‘GT R’ และ ‘GT C Convertible’ และหลังจากที่แบรนด์ได้เป็นที่รู้จักของสาวกรถยนต์สมรรถนะสูง และทำให้มียอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 300% ในเวลาไม่ถึงสองปี และจากความนิยมในแบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีที่เพิ่มมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยดังกล่าว ทำให้เดมเลอร์ เอจี เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงที่สำคัญแห่งหนึ่ง
ล่าสุดเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัวรถยนต์แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี รุ่น C 43 4MATIC Coupe รุ่นประกอบในประเทศเป็นครั้งแรกของเมืองไทย อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกของโลกสำหรับการผลิตรถยนต์ Mercedes-AMG นอกเหนือจากที่ผลิตในโรงงานของเดมเลอร์ เอจี โดยในปัจจุบันบริษัทฯ ได้ทำตลาดรถยนต์ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีทั้งหมด 19 รุ่น ครอบคลุมทั้งตระกูล 43, 45, 53, 63 และ GT ในจำนวนนี้เป็นรุ่นประกอบในประเทศถึง 5 รุ่น
นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว C 43 4MATIC Coupe นับเป็นสิ่งยืนยันได้ดีถึงจุดแข็งของตลาดในไทย ทำให้บริษัทแม่เปิดให้ผลิตนอกโรงงานของเดมเลอร์ เอจีได้ และจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าคนไทย สามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างได้อย่างชัดเจนทั้งทางด้านพละกำลังและราคาที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายแบรนด์เอเอ็มจีได้ดีขึ้น และสามารถสร้างการเติบโต โดยมีดีลเลอร์ 14 แห่งที่ได้รับการแต่งตั้งให้ช่วยดูแล ซึ่งนับว่าเพียงพอที่จะดูแลลูกค้าได้ในขณะนี้ ทั้งนี้นอกจากรุ่นที่ประกอบในไทยแล้ว ยังมีรุ่นนำเข้าที่มีสมรรถนะสูงกว่าเป็นทางเลือกให้ด้วยเช่นกัน
“ในทุกรุ่นของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จำหน่ายเราสามารถนำเอเอ็มจีใส่เข้าไปได้ เพราะการพัฒนาเป็นเอเอ็มจีจะเริ่มตั้งแต่กระบวนการแรกของการผลิต นับเป็นจุดแข็งของแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น คูเป้ ซีดานหรือเอสยูวี เป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้มีความสนุกสนาน แตกต่างจากคู่แข่งบางรายที่พัฒนาเทคโนโลยีเข้าไปทีหลัง ซึ่งที่ผ่านมาเอเอ็มจีได้พร้อมที่จะลงทุนทั้งในเรื่องบุคลากร เครื่องมือและสถานที่เพื่อให้สามารถสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้า ทั้งนี้การทำโลคอลโปรดักส์ชัน จะทำให้เราได้เพอร์ฟอร์แมนซ์คาร์ที่ตอบโจทย์กับประเทศนั้นๆ”
แบรนด์เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีได้ยึดกลยุทธ์ “Customer Centric” ที่เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ในการทำการตลาดในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าชาวไทยมีความต้องการที่เป็นเอกลักษณ์ และแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นบริษัทฯ จึงนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย โดยจะมีการนำเสนอรถยนต์ภายใต้รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละรุ่นมีคาแรกเตอร์ และความโดดเด่นที่แตกต่างกัน
ปัจจุบันด้วยความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน ทำให้ยอดขายในปี 2562 ยังเติบโตขึ้นกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยอดขายในไตรมาสที่สองยังเติบโตขึ้นถึง 394% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย ส่วนแนวทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของ 2562 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า และจะไม่หยุดยั้งที่จะนำเสนอประสบการณ์ที่มาพร้อมกับความตื่นเต้น และแปลกใหม่ในสไตล์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสานสัมพันธ์ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจีผ่านการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีการจัดกิจกรรม AMG Driving Academy การฝึกอบรมขับขี่รถยนต์สมรรถนะสูงครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ลูกค้าเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีได้สัมผัสประสบการณ์อันทรงพลังจากการขับขี่ยนตกรรมสมรรถนะสูง ด้วยการเสริมทักษะการขับขี่ โดยทีมผู้ฝึกสอนจากเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีมาร่วมสอนเทคนิคและให้คำแนะนำต่างๆ ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ และในปีนี้ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมสุด เอ็กซ์คลูซีฟอีกมากมายสำหรับลูกค้าโดยเฉพาะเพื่อมอบเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง