รมว.ดีอีขีดเส้น 45 วันให้แคทและทีโอทีร่วมกันหาทางออกร่วมกันใน 3 เรื่องสำคัญ ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่ ครม.เพื่อเห็นชอบ และจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำแผนควบรวมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนหลังจากนั้น คาดปีหน้าการควบรวมจะสำเร็จ เผยในปีแรกจะไม่มีการลดบุคลากร แต่จะไม่มีการรับใหม่ ซึ่งทั้ง 2 องค์กต้องเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้รองรับกับธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังการหารือร่วมกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ และ ผู้บริหาร บริษัท ทีโอที จำกัด และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด หรือแคท ว่า ได้กำหนดเวลา 45 วัน ในการสรุป 3 เรื่อง ซึ่งประกอบด้วย 1.แผนบริหารจัดการบุคลากรหลังจากการควบรวมกิจการจะมีแนวทางอย่างไร 2.สินทรัพย์และหนี้สินที่จะมีข้อสรุปร่วมกันได้หรือไม่
ทั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดมีคำวินิจฉัยเบื้องต้นว่าการควบรวมกิจการดังกล่าว จะไม่กระทบต่อสินทรัพย์และหนี้สินของทั้ง 2 องค์กร และ 3.สัญญา และสัมปทานต่างๆ ที่เมื่อเกิดการควบรวมแล้วจะเกิดผลกระทบหรือไม่ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในกลางเดือนตุลาคมนี้
ทั้งนี้หลังจากที่ประชุมเห็นชอบร่วมกัน จึงจะนำเข้า ครม. และหาก ครม. เห็นชอบ ทีโอที และ กสทฯ จะมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อขับเคลื่อนการควบรวมกิจการให้เป็นรูปธรรม ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน การควบรวมจะเกิดขึ้น โดยการตัดสินใจที่เด็ดขาดนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การควบควมเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะที่ผ่านมาไม่มีการตัดสินใจให้เด็ดขาด ทำให้หลายรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินเพิ่มพูน
“การควบรวมในปีแรกจะไม่มีการปรับลดคน นอกจากเกษียณ แต่จะไม่มีการรับใหม่ หลังจากนั้นอาจจะทำในรูปแบบของเออรี่รีไทน์ ดูหน้าที่ ที่เหมาะสม โดยก่อนการควบรวมทั้ง 2 องค์กรควรทำการการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะให้บุคลากรเพื่อให้ไปอยู่ในกรอบงานใหม่หลังการควบรวม ทั้งนี้แผนงานทางธุรกิจในอนาคตมีความสำคัญมาก เพราะการแข่งกันเองแล้วยังจะสู้เอกชนไม่ได้ เสียโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้นเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะตลอด 2 ปีนับจากนี้จะมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นเร็วมาก ถ้ารีบทำก็จะเข้าถึงโอหาสได้ก่อน”
