แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #2

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #2

The Stanford Thailand Research Consortium เป็นความร่วมมือการวิจัยเชิงประยุกต์ครั้งแรกของไทย และเป็นงบการวิจัยที่สูงระดับประเทศที่นับรวม 5 ปีกว่า 5 ล้านเหรียญ (ราว 170 ล้านบาท) อีกทั้งยังเป็นการวิจัยโดยต่างชาติที่ลงรายละเอียดแบบลึกซึ้งจนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นข้อมูลเชิงลึกของประเทศไทยจริงๆ แน่นอนว่า “แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #1” จากเรื่องราวของนักวิจัยระดับท้อปของโลกที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาพูดเรื่องราวของประเทศไทย ถ้าจะให้ทำใจยอมรับว่ารู้จักบริบทประเทศไทยดีก็ดูจะกระไรอยู่

TheReporterAsia จึงขอสืบสาวราวเรื่องจาก ศูนย์​พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน หรือ SEAC ซึ่งเป็นส่วนผสานที่สำคัญของโครงการนี้ในประเทศไทย และถือเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญในการวิจัยทุกขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ และแน่นอนว่าผู้ที่จะมาไขข้อข้องใจเรื่องนี้ก็จะหนีไม่พ้น บอสใหญ่แห่ง SEAC ที่มีความฝันในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ให้กับคนในประเทศไทยและเอเชียนั่นเอง

อริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวว่า บทบาทของ SEAC ในโครงการ The Stanford Thailand Research Consortium มีหน้าที่หลักครอบคลุม 3 ส่วน ได้แก่ 1. การทำความเข้าใจว่า บริษัทใดที่จะเข้าไปคุยและเชิญเข้ามามีส่วนรวมใน Consortium โดยมุ่งเน้นบริษัทที่ต้องการทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ และต้องการที่จะพัฒนาบริษัทตัวเอง เพื่อเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปในทางที่ดีขึ้น

  1. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “บริบท” (Context) ของบริษัทนั้นๆ โดยพิจารณาว่า บริษัทนั้นมีความต้องการอย่างไรในการที่จะช่วยประเทศไทย และช่วยหรือยกระดับบริษัทของตนเอง เพื่อให้แข่งขันได้ในสากล หรือต้องเจอกับความท้าทายอะไร เพื่อที่ SEAC จะได้สรุปเรื่องราวต่างๆ แล้วส่งให้กลับทีมงานของ Stanford University ที่จะสามารถออกแบบในเรื่องของหัวข้อ Research ที่จะตอบโจทย์ได้

3.การทำงานร่วมกับแต่ละบริษัท ทั้ง เอไอเอส เอพี ไทยแลนด์ ธนาคารกสิกรไทย และกำลังจะมีบริษัทที่จะเข้ามาร่วมใหม่ล่าสุด คือ ไทยยูเนี่ยน โดย SEAC จะต้องทำความเข้าใจว่า แต่ละบริษัทกำลังมีบริบทใดๆ เพื่อนำเอาข้อมูลจริงๆ ส่งผ่านไปทาง Stanford University และทีมอาจารย์ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มที่กับการทำวิจัยที่ไม่ใช่ภาพกว้าง หากแต่เป็นการวิจัยแบบภาพที่เจาะลึกเพื่อประเทศไทยโดยเฉพาะ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องเข้าใจความคาดหวัง และบริบท (Context) ของสมาชิกแต่ละบริษัทว่าเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็น DNA สำคัญของ SEAC ในการทำงาน ดังนั้นการที่บริษัทชั้นนำของประเทศให้ความสำคัญกับ Consortium นี้ เรามองว่า ทุกๆ เรื่องที่ทำระหว่างมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกับแต่ละบริษัทนี้ เราอยากจะให้แน่ใจว่า ทีมงานของทางสแตนฟอร์ดเข้าใจในบริบทของประเทศไทยและบริบทของบริษัทไทยได้ดีที่สุดแล้ว

ที่ผ่านมาเราทำงานร่วมกับองค์กรชั้นนำของประเทศไทยมาเยอะ เราพบว่าสิ่งที่บริษัทหลายๆ ที่เริ่มพูดกับเราในช่วง 3-4 ปีหลัง นั่นคือ ภาพในประเทศไทยนั้น บริบทไม่เหมือนเดิม เพราะตอนนี้เราอยู่ในยุค Disruption ทุกคนเริ่มพูดว่าสภาพของสังคม เศรษฐกิจ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และนี่คือคำถามที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้บริษัทของไทยรวมทั้งประเทศไทยด้วย ยังสามารถที่จะเป็นประเทศชั้นนำ และบริษัทต่างๆ ยังคงอยู่รอดได้ต่อไป

ความจริงของบริบทงานวิจัยไทย

สิ่งที่ SEAC ค้นพบ คือ ประเทศไทยยังไม่มีการวิจัยที่มาตอบโจทย์ของประเทศเราเอง และการทำวิจัยของต่างประเทศที่เราศึกษาดูนั้น ล้วนพบว่าเป็นวิจัยที่ตอบโจทย์ของแต่ละประเทศที่ทำเองทั้งนั้น แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะทยอยได้รับการวิจัยที่ตอบโจทย์สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อเอามาแก้ไขปัญหา และเอามาเติมเต็มสิ่งที่ยังขาดอยู่ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ต้องเข้าใจก่อนว่า บริบทหรือ solutions ที่ประสบผลสำเร็จในประเทศอื่น อาจจะไม่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีในประเทศไทย การที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือในจุดนี้ ทำให้ในที่สุดประเทศไทยก็ได้ค้นพบ solutions ที่เหมาะสมกับสังคมและบริบทของเมืองไทยที่สุด

ทุกวันนี้ เราไม่สามารถเอาตำราเดิมๆ มาตอบโจทย์ในวันนี้ได้เลย เพราะว่า สิ่งที่ถูกเขียนมา มันถูกเขียนมาจากในอดีต เราก็เริ่มพยายามมองหาว่า งานวิจัยใหม่ๆ เอามาใช้อย่างไรได้บ้าง แต่ก็พบว่า วิจัยใหม่ที่เจอนั้น ก็กลายเป็นตอบบริบทประเทศอื่น และหลายครั้งที่บริษัทของไทยเอาวิจัยเหล่านั้นมาใช้ ก็ไม่เกิดผลต่อองค์กร เราเลยมองหาว่าแล้วที่ใดที่จะสามารถทำวิจัยระดับโลกได้ เราก็ได้เจอว่า มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เน้นแค่การสอนหนังสือ แต่เป็น Research and Teaching University

ซึ่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเอง ก็ไม่เชื่อว่าองค์ความรู้เดิมๆที่อาจารย์สอนต่อๆ ไปจะอยู่ได้ตลอดไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า จะทำอย่างไรให้อาจารย์รู้ “ความรู้ใหม่” เราจึงได้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดมาทำวิจัยให้ โดยเป็นงานวิจัยเพื่อตอบบริบทของไทยและให้องค์กรไทยเอาวิจัยนี้ไปใช้ได้ จนเกิดเป็น The The Stanford Thailand Research Consortium ขึ้นในครั้งนี้

ความร่วมมือในครั้งนี้ ภายใต้โครงการ The Stanford Thailand Research Consortium คือ การที่เรามาร่วมกันในโจทย์ที่ว่า องค์กรชั้นนำของประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างไรบ้าง และวันนี้แต่ละองค์กรอยากที่จะหาคำตอบอย่างไร โดย SEAC เป็นตัวกลางระหว่างทั้ง 3 องค์กรและมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพื่อดูว่า แต่ละบริษัทควรจะมีหัวข้ออะไรในการทำวิจัย

โดยเรามุ่งหวังให้บริษัทที่ร่วม Consortium นี้ เจอคำตอบกับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันที่ไม่เหมือนเดิม และมองถึงบริบทของประเทศชาติในการช่วยกันผลักดันประเทศให้ยังคงแข่งขันได้เป็นอย่างดีในยุคนี้ และสามารถนำเอาการวิจัยที่เกิดขึ้นไปใช้งานได้จริงในบริบทของแต่ละบริษัท เพื่อที่จะช่วยหาคำตอบสำหรับยุคดิจิทัลนี้ ซึ่งเป็นการแข่งขันในอีกรูปแบบหนึ่ง และ Consortium นี้ ยังจะมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอีกด้วย

แม้ว่างบประมาณของการวิจัยในครั้งนี้จะค่อนข้างสูง ประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี แต่ก็ถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกาหรือเยอรมัน ที่ค่อนข้างทุ่มเทให้กับการทำงานวิจัยเพื่อประเทศของเขา เรามองว่าหากเอาเงินมาลงในส่วนนี้และมีผลงานวิจัยที่มากขึ้น เราก็จะได้ทำเพื่อประเทศและเพื่อบริษัทตัวเองให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย

บริษัทที่เข้าร่วม Consortium นั้น 1.ต้องเป็นบริษัทที่อยากจะได้คำตอบที่จะมาช่วยในการยกระดับประเทศไทย ไม่ได้มองถึงตัวเองเป็นหลัก 2.ไม่ยึดติดอยู่กับหลักการเดิมๆ กล้าที่จะยอมรับวิถีการดำเนินงานในรูปใหม่ 3.ยอมรับระยะเวลาในการทำ 5 ปีและค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ และแต่ละบริษัทนั้นจะมีความคาดหวังที่จะได้เจอกับวิธีการใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องธุรกิจ คน เทคโนโลยี เพื่อทำให้บริษัทนั้นๆ สามารถแข่งขันได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม

“เราเน้นองค์กรที่ใช่มากกว่าปริมาณ และไม่เจาะจงภาคธุรกิจไหนเป็นพิเศษ ไม่มีอะไรการันตีว่าเมื่อจำนวนสมาชิกเยอะแล้วจะสร้างผลประโยชน์ได้เยอะตาม ”

แต่ละบริษัทจะมีงานวิจัย 3 – 4 โครงการต่อ 1 ปี ถ้านับรวมของ ไทยยูเนี่ยน เข้าไปด้วยจะมีประมาณ 16 โครงการ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์รวมของประเทศไทย เช่น นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือเรื่องสังคมผู้สูงวัย ซึ่งในขั้นตอนการวิจัยนั้น SEAC ต้องส่งข้อมูลให้กับ Stanford ตลอดเวลา และต้องคอย Recheck ว่า อาจารย์แต่ละคนเข้าใจเรื่องราวจริงหรือไม่ โดย SEAC จะเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่ทำความเข้าใจ ย่อยเรื่องราวขององค์กรและประเทศไทย เพื่อส่งต่อให้ Stanford

เราเชื่อว่า The The Stanford Thailand Research Consortium จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น 1. เรื่องของศักยภาพของ “คนไทย” ที่จะดูเก่งขึ้น สามารถแข่งขันได้ และเป็นโอกาสที่ได้เรียนรู้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่างใกล้ชิด 2. ผลลัพธ์ที่ออกมาในแต่ละ Project จะช่วยตอบเลยว่า สังคมไทยในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ผู้สูงอายุ เด็ก คนรุ่นใหม่ หรือ สุขภาพของประเทศไทย ว่าทำอย่างไรจึงจะตอบโจทย์ในด้านของสังคมได้ และ 3. แต่ละบริษัทกำลังมองหาว่า วันนี้จะทำอย่างไรให้บริษัทยังแข็งแรง และอยู่รอดได้ ซึ่งการวิจัยนี้ จะช่วยตอบโจทย์ความสามารถในการแข่งขัน และท้ายสุดจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ GDP ของประเทศไทยดีขึ้นด้วย

ซึ่งประเทศไทยถือเป็นผู้บุกเบิกในการทำงานวิจัยเชิงประยุกต์ (Applied Research) กับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่นอกจากจะสอนแล้ว ยังเน้นเรื่องการทำวิจัยอีกด้วย เพราะมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีความเชื่อที่ว่า ทฤษฏีแบบเดิมๆ หรือผลสำเร็จเดิมๆ จะไม่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจในยุคปัจจุบันได้อีกต่อไป ดังนั้นการทำวิจัยแบบเจาะลึกเรื่อยๆ จะช่วยให้เราสามารถก้าวทันโลกได้อย่างทันท่วงที

มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยด้านการสอนและการวิจัยชั้นนำระดับโลก เชื่อหรือไม่ว่า บริษัทมากมายหลายบริษัททั่วโลกยอมจ่ายเงินกว่า 3 – 5 พันล้านบาทเพื่อร่วมทำงานวิจัยกับสแตนฟอร์ด ดังนั้น SEAC และสมาชิก Consortium ทั้งหมดจึงเชื่อมั่นในศักยภาพของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่าจะสามารถยกระดับศักยภาพคนไทยและขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละบริษัทสู่การแข่งขันบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก

โดย SEAC ทำงานโดยตรงกับหน่วยกลางของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งจะดีกว่า ใน 1 โครงการที่เราทำจะมีศาสตราจารย์จากหลากหลายคณะเข้าร่วมในโครงการนั้นๆ หากในอนาคตมีบริษัทไหนอยากจะทำกับสแตนฟอร์ดเอง ก็อาจจะสามารถทำได้ แต่จะไม่มีใครที่สามารถทำได้จากในระดับส่วนกลางของมหาวิทยาลัยที่เท่ากับเรา

ซึ่งหลังจากที่เราดำเนินการมาได้ 1 ปีแล้ว สมาชิกแต่ละบริษัทจะก้าวเข้าไปสู่อีกภาพ เหมือนเราใช้เวลา 1 ปี ทำงานวิจัยอย่างเจาะลึก คล้ายกับเราทำการบ้านมาแล้วอย่างละเอียด เมื่อเราเริ่มรู้แล้วว่าอะไรใช่/ไม่ใช่ จากนั้นก็ปรับใช้ให้เหมาะสม
2.ในอนาคตอาจจะเกิดการทำงานร่วมกันของสมาชิกแต่ละบริษัท (Cross-Industry) และ
3.ผลลัพธ์จากการกระทำในปัจจุบันจะขยายออกไปในวงกว้าง อย่างเช่น การแพทย์เริ่มจากโรงพยาบาลจุฬา สู่โรงพยาบาลโดยรอบ หรือการอนุรักษ์ป่าในน่านสู่จังหวัดใกล้เคียงก็เป็นได้

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #1

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #3

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #4

แกะรอย The Stanford Thailand Research Consortium #5

Related Posts