การเปิดตัวของ Fitbit Versa ในช่วงปีที่ผ่านมาสร้างความฮือฮาเรื่องการนับรอบเดือนผู้หญิงอยู่พอสมควร แต่แล้วช่วงที่ผ่านมา ฟิตบิท ได้เปิดตัว Fitbit Versa Lite ที่ได้ลดสเปกเครื่องลงจากรุ่นพี่ทำให้ราคาถูกลงและผู้คนเข้าถึงได้มากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องการลดสเปกเป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้คนอยากรู้ว่าลดแล้วเป็นอย่างไรและอะไรบ้างที่ถูกลดสเปกและส่งผลอย่างไรบ้าง
แกะกล่อง Fitbit Versa Lite
ภายในกล่อง Fitbit Versa Lite ยังคงมีสายสำรองขนาดที่แตกต่างกันมาให้อีกเส้น พร้อมอุปกรณ์การชาร์จแบบปกติ พร้อมใบรับประกัน ตัวเครื่องและอุปกรณ์มีการจัดเก็บเป็นอย่างดีพร้อมติดพลาสติกป้องกันรอยขีดข่วนมาภายในกล่อง ทั้งนี้เครื่องทุกรุ่นของฟิตบิตจะมีให้เลือกทั้งขนาดของสาย L , S และ XL โดยสามารถเลือกได้ 1 ขนาดแล้วจะมีแถมขนาดที่ใกล้เคียงมาอีก 1 ขนาด ซึ่งกล่องที่ผมได้จะเป็นขนาดไซต์ S และมีแถมสายขนาด L มาให้
องค์ประกอบโดยรวม
มาดูที่เรื่องพื้นๆของการออกแบบก่อน โดยรวมของการออกแบบทั้ง 2 รุ่นมีขนาดใกล้เคียงกัน รูปลักษณ์ดูแล้วไม่แตกต่างกัน มีเพียงปุ่มมัลติฟังก์ชั่นเท่านั้นที่ถูกออกแบบมาให้เหลือปุ่มเดียว
สายของตัวเครื่องสามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้ง 2 รุ่น โดยตำแหน่งของช่องเสียบสายไม่มีความแตกต่างกัน จากการทดลองใส่โดยรวมก็ถือว่าสามารถทดแทนกันได้ปกติครับ เนื้อสัมผัสของสายก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่กระนั้นการแยกสายใช้เพื่อป้องกันแนวของปุ่มล็อกสายทำรอยให้ตัวเครื่องก็น่าจะเป็นเรื่องดี เนื่องจากมีบางองศาที่ยังลงล็อกกันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นครับ
ขณะที่อุปกรณ์การชาร์จ ออกแบบมามีขนาดเท่ากัน โดยผมลองนำเครื่องFitbit Versa รุ่นพี่มาชาร์จก็สามารถใช้งานได้ปกติ เพียงแต่รูปแบบของการร้อยสายไปแตกต่างกันเล็กน้อย โดยสายของเครื่องชาร์จ Fitbit Versa Lite จะร้อยออกจากด้านล่างทำให้การวางเครื่องมีการโดกกระเดกเล็กน้อย ส่วนตัวมองว่าไม่สะดวกเท่าไหร่กับการวางตำแหน่งนี้
หน้าจอของทั้ง 2 รุ่น ยังคงใช้งานคุณภาพแบบ IPS LCD Corning Gorilla Glass 3 ที่ช่วยป้องกันรอยขีดข่วนได้บ้าง ในกรณีที่เกิดการกระแทกไม่แรงมาก หากแรงก็มีโอกาสบิ่นได้เหมือนกัน การให้แสงในที่แดดจร้า ยังสามารถมองเห็นได้อย่างรู้เรื่อง โดยรวมก็ถือว่าคุณภาพตัวจอทำออกมาได้ดีครับ ซึ่งอันนี้ผมไม่ได้เทียบกับ Fitbit Versa เวอร์ชั่นใหม่ที่จะเปลี่ยนหน้าจอเป็นแบบ AMOLED พร้อมเพิ่มฟีเจอร์การใช้งาน Alexa มาให้ด้วยนะครับ
ความแตกต่างของฟังก์ชั่นการใช้งาน
ต้องบอกก่อนว่าเครื่อง Fitbit Versa Lite ได้ถูกลดสเปกลง โดยฮาร์ดแวณ์ภายในเครื่องที่ถูกลดลงอย่างแรกเลยคือระบบไวไฟจะไม่มี ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายเมื่อเข้าสู่พื้นที่ที่ตั้งค่าไว้เพื่ออัพเดตอัตโนมัติจะไม่สามารถทำได้ แต่ก็แลกมากับการที่เครื่องจะสามารถทำงานได้นานขึ้น ซึ่งเมื่อลองใช้งานปกติแล้วก็สามารถทำงานได้ดีในระดับเกินกว่า 5 วัน ซึ่งบางสัปดาห์สามารถใช้งานได้ทั้งสัปดาห์ได้อย่างสบายเลย
อีกทั้งในส่วนของการวัดค่าความความเอียงและระดับก็จะถูกตัดออกไป ทำให้เมื่อเราลงน้ำจะไม่สามารถวัดค่ากิจกรรมการว่ายน้ำได้อย่างรุ่นพี่ ซึ่งหากใครชื่นชอบกิจกรรมทางงน้ำแล้วต้องการวัดค่าร่างกายไปด้วยเครื่องรุ่นนี้ก็อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ และรวมถึงการวัดการขึ้นลงที่สูงหรือขั้นบรรไดด้วย เนื่องจากเป็นฮาร์ดแวร์เดียวกัน
อีกทั้งในส่วนของการฟังดนตรีระหว่างการออกกำลังกายจากตัวเครื่องด้วยการโหลดเพลงไว้ในเครื่องเลย ที่รุ่นพี่อย่าง Fitbit Versa มีมาให้ก็ถูกตัดไปในรุ่น Fitbit Versa Lite นี้ ซึ่งโดยส่วนตัวจากที่ใช้รุ่นเวอร์ซ่า มาโดยตลอดก็ไม่เห็นความจำเป็นของการเลือกใช้ฟังก์ชั่นนี้สักเท่าไหร่ และก็ยังไม่เคยเปิดใช้งานสักครั้งเพราะฟังจากสมาร์ทโฟนเลยก็ไม่ต่างกัน แต่กระนั้นหากใครยังชื่นชอบอยู่ก็น่าจะฟังผ่านการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน
และอีกส่วนที่ยังไม่เข้ามาในเมืองไทย นั่นคือฟังก์ชั่นการชำระเงิน Fitbit Pay ที่เริ่มมีการใช้งานแล้วกับธนาคารกว่า 60 รายใน 15 ประเทศ ซึ่ง Fitbit Versa Lite ก้ได้ตัดฟังก์ชั่นนี้ออกไป ซึ่งหากอนาคตจะมีการใช้งานระบบนี้ในประเทศไทย อาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้รุ่นอื่นที่รองรับนะครับ แต่เชื่อว่าเป็นอนาคตที่ยังอีกยาวไกล การลงทุนล่วงน่าสำหรับเทคโนโลยีเป็นเรื่องสูญเปล่าจริงๆนะครับ
นอกนั้นทั้งฟังก์ชั่นการตรวจวัดอัตราการเต้นหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง การวัดการนอนหลับ การนับรอบเดือนของผู้หญิง การนับก้าวเดิน อัตราการเผาผลาญแคลอรี่ รวมไปถึงการให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลต่อการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่สามารถตั้งค่าเองได้ พร้อมการแจ้งเตือนให้ออกกำลังกายอยางสม่ำเสมอก็ยังถูกใส่มาให้อย่างครบครัน ซึ่งความสามารถดังกล่าวก็เป็นความสามารถที่เราๆท่านๆต้องการนั่นเอง
ในส่วนของการติดตั้งแอปพลิเคชั่นภายในเครื่องก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน ยังรองรับแอปพลิเคชั่นที่มีอยู่ในระบบมากกว่า 500 แอปพลิเคชั่นเช่นเดียวกันรุ่นพี่ และสามารถเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัดได้เช่นเดียวกัน
การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน
การเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนนั้น ผมลองกับเครื่อง Huawei Mate 20X ซึ่งเครื่องหัวเว่ยต้องบอกก่อนว่าเป็นเครื่องที่ทำให้หลายๆคนท้อใจกับการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับตัวเครื่องเนื่องจาก ตัวสมาร์ทโฟนมีระบบการจัดการพลังงานที่เพิ่มเข้ามาทำให้ปฏิเสธการเชื่อมต่อแบบตลอดเวลาของทุกอุปกรณ์ (จะเฉพาะแบรนด์อื่นนอกจากหัวเว่ยหรือเปล่าอันนี้ไม่ได้ลองทุกอุปกรณ์ หากมีโอกาสจะมาอัพเดตข้อมูลให้ฟังใหม่) แต่ก็มีทางออกของการเข้าไปปิดระบบในเครื่องสมาร์ทโฟน ตามที่ผมเคยเขียนแนะนำไปแล้ว
โดยรวมแอปพลิเคชั่นนั้นก็ไม่มีความแตกต่าง หากติดตั้งอยู่แล้วก็สามารถเพิ่มอุปกรณ์ Fitbit Versa Lite เข้าไปได้เลย การเรียกใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆของแอปพลิเคชั่นก็ไม่ต่างกัน ซึ่งแอปนี้จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่พอสมควรหลังจากที่เราใส่ข้อมูลส่วนตัวลงไปครบแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่การแนะนำช่วงของการเต้นหัวใจที่เหมาะสมแบบเฉพาะบุคคลว่าช่วงการเต้นเท่าไหร่จะช่วยเผาผลาญพลังงาน ช่วงการเต้นเท่าไหร่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหลอดเลือด(คาดิโอ) และช่วงการเต้นเท่าไหร่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ซึ่งมีการแบ่งเป็นกราฟให้ดูง่ายขึ้น
ขณะที่การวัดการนอนหลับ มีระบบคะแนนเข้ามาช่วยเสริมให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แถมยังมีเป็นคำที่เป็นเสมือนคำชม เมื่อเราพักผ่อนร่างกายได้ดีพออีกด้วย และหากใครต้องการรายละเอียดของอัตราการเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน ก็สามารถเช็กได้อย่างสะดวก แต่ต้องยุ่งยากในการนำเข้าข้อมูลการทานอาหารในแต่ละครั้ง ผ่านช่องทางการกรอกเองหรือการสแกนบาร์โค้ดที่มีอยู่ในแอปพลิเคชั่นนั่นเอง
สรุปภาพรวมของ Fitbit Versa Lite นั้นนับว่าไม่แตกต่างจากรุ่นพี่เท่าไหร่นัก ซึ่งจะมีเพียงกิจกรรมว่ายน้ำเท่านั้นที่ไม่รองรับ ส่วนเรื่องของการฟังเพลงขณะออกกำลังกายผ่านเครื่องสมาร์ทวอทซ์ก็แค่เปลี่ยนมาเลือกฟังจากสมาร์ทโฟนก็น่าจะประหยัดเงินลงได้มากอยู่นะ ปล.เรื่องของการับรอบเดือนส่วนนี้ ผมไม่รู็จะทำอย่างไรให้ผู้อ่านได้เห็นภาพ เนื่องจากผมเป็นผู้ชาย เบื้องต้นคงบอกได้เพียงว่า อุปกรณ์ชิ้นนี้จะคำนวนรอบระยะการตกไข่ตามทฤษฏีร์ที่เป็นทางการ แล้วคำนวนร่วมกับข้อมูลส่วนบุคคลที่กรอกไปในแอปพลิเคชั่น ซึ่งความแม่นยำอันนี้ไม่ทราบจริงๆเพราะไม่ได้ลอง ถ้าอยากรู้อาจจะต้องซื้อไปใส่กันเอาเองนะครับสำหรับท่านผู้หญิงทั้งหลาย
ส่วนเรื่องของราคา Fitbit Versa Lite เปิดตัวไปเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาด้วยราคา 6,990 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Fitbit Versa ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมาในราคา 8,490 บาท