บำรุงราษฎร์ รุกขยายโมเดล บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก

บำรุงราษฎร์ รุกขยายโมเดล บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก
บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก
นพ. สุธร ชุตินิยมการ ผู้อำนวยการด้านบริหาร บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก (ซ้าย) และ นพ. วีระพันธ์ ควรทรงธรรม ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์

ท่ามกลางโลกปัจจุบันที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งเชิงโครงสร้างประชากร สัดส่วนประชากรเปลี่ยนไปเป็น “สังคมอายุยืน” ที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น และก้าวสู่ “สังคมสูงวัย” ขณะที่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการแพทย์เติบโตแบบก้าวกระโดด นับเป็นโอกาสและความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่จึงจำเป็นต้อง Transform อย่างมีกลยุทธ์ มีทัศนคติเชิงบวก แสดงศักยภาพของบุคลากร และใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมในกระบวนการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรให้มีทักษะการเรียนรู้ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

นพ. สุธร ชุตินิยมการ ผู้อำนวยการด้านบริหาร บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก เปิดเผยว่า “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ มิติ โดยโรงพยาบาลมีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การบริบาลสุขภาพแบบองค์รวมระดับโลกด้วยนวัตกรรม และมีเจตนารมณ์ที่จะขยายการให้บริการเพื่อรองรับกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยมาตรฐานการดูแลรักษาของบำรุงราษฎร์ในวงกว้างมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ทั้งการเดินทาง ระยะทาง ภูมิลำเนาที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด จึงทำให้ผู้ป่วยกลุ่มบางกลุ่มไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่บำรุงราษฎร์ได้

ในขณะที่บำรุงราษฎร์มีทีมแพทย์ที่ขยายใหญ่ขึ้นและมีองค์ความรู้ที่สามารถถ่ายทอดแบ่งปันซึ่งกันและกันในทีมแพทย์ จึงเป็นที่มาของการริเริ่มโมเดลธุรกิจ “บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก” (Bumrungrad Health Network) นับเป็นกลยุทธ์ในการต่อยอดพัฒนาความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลพันธมิตรเพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายในเซกเม้นต์ระดับกลาง”

โดยบำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก ได้เริ่มนำร่องจาก “สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์” เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบประสาทไขสันหลังและกระดูกสันหลังถูกกดทับ หรือการบาดเจ็บกระดูกสันหลังในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสาเหตุของโรคมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการเสื่อมของข้อต่อและกระดูกสันหลัง การใช้อิริยาบถที่ไม่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง หรือจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดแรงกระแทก

ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาเส้นประสาทไขสันหลังถูกกดทับ กระดูกสันหลังเคลื่อน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการปวดหลังส่วนล่าง และพบอาการปวดหลังมากที่สุดในช่วงอายุ 40-59 ปี ถึงร้อยละ 70 และจากสถิติพบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับประสาทไขสันหลังประมาณ 250,000 – 500,000 รายต่อปี ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน มีโอกาสสูญเสียชีวิต หรือเกิดความพิการตลอดชีวิต

นพ. วีระพันธ์ ควรทรงธรรม ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ ในฐานะประสาทศัลยแพทย์และผู้อำนวยการด้านการแพทย์กระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นผู้บรรยายและนำการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อถ่ายทอดเทคนิควิธีการผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอนโดสโคป ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังแผลเล็กขนาด 0.8 -1.1 ซม. กล่าวว่า “สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ นับเป็นสถาบันที่จัดการสอนการผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอ็นโดสโคปในระดับภูมิภาคเอเชีย มาอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี”

“โดยได้รับการคัดเลือกจาก Professor Sebastien Ruetten ผู้คิดค้นเทคนิคดังกล่าว ให้ร่วมกับ โรงพยาบาล Saint Anna-Herne แห่งประเทศเยอรมนี จัดตั้งศูนย์การฝึกอบรมการผ่าตัดผ่านกล้องเอ็นโดสโคปในภูมิภาคเอเชีย เป็นแห่งที่สองต่อจากที่ประเทศเยอรมนี สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ได้มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการการผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอ็นโดสโคป ร่วมกับ Professor Sebastien Ruetten มาอย่างต่อเนื่องทุกปี และในปี 2563 นี้ จะเข้าสู่การจัดอบรมครั้งที่ 51 ซึ่งที่ผ่านมาได้อบรมศัลยแพทย์กระดูกสันหลังจากนานาประเทศมาแล้วกว่า 2,000 คน”

สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ ได้สั่งสมประสบการณ์ความชำนาญและพัฒนาการรักษามาโดยตลอด เน้นการตรวจรักษาอย่างครบวงจร โดยมีแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางกว่า 40 คนในทีมแพทย์กระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก และทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องในการรักษาโรคกระดูกสันหลัง ซึ่งได้ผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์สูง

นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2553 จนถึงปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาทั้งด้วยวิธีการผ่าตัดและไม่ผ่าตัด (intervention) อาทิ การใช้เลเซอร์ การใช้คลื่นวิทยุ รวมกว่า 9,000 ราย ซึ่งเป็นการผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้องเอ็นโดสโคปมากกว่า 1,000 ราย และมีผลสำเร็จในระดับที่ดีและดีเยี่ยมกว่าร้อยละ 90 ซึ่งเกิดจากความทุ่มเท ความพิถีพิถัน เเละประสบการณ์จากทีมแพทย์และทีมงานมากว่า 10 ปี

นพ. สุธร กล่าวว่า “รูปแบบโมเดล ‘บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก’ โรงพยาบาลจะร่วมลงทุนจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Center of Excellence) ให้กับเครือข่ายโรงพยาบาลพันธมิตร ซึ่งจะดำเนินงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในลักษณะ Joint Operation หมายรวมถึง เงินทุน ค่าใช้จ่าย ทรัพยากรและรายได้ มีการฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้และความชำนาญทางการแพทย์ให้กับทีมแพทย์ของโรงพยาบาลพันธมิตร

เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการรักษาตามมาตรฐานของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ให้กระจายไปในภูมิภาคต่าง ๆ ในราคาที่สอดคล้องกับสภาวะของภูมิภาคนั้น ทั้งนี้ บำรุงราษฎร์จะเป็นผู้จัดหาเครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยีขั้นสูงที่จำเป็นในการรักษา ตามความเหมาะสมของเงินทุนและข้อตกลงร่วมกับโรงพยาบาลแต่ละแห่ง โดยอยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการดูแลรักษาผู้ป่วย”

นพ. วีระพันธ์ กล่าวว่า “ความปลอดภัยของผู้ป่วย ถือเป็นหัวใจสำคัญของบำรุงราษฎร์ สำหรับโครงการ “ศูนย์กระดูกสันหลัง” แห่งแรกที่เริ่มกับโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ นั้น จะมีขั้นตอนการดูแลรักษาและมาตรฐานความปลอดภัยในระดับใกล้เคียงกับบำรุงราษฎร์ โดยมีทีมแพทย์สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์และแพทย์ของโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิร่วมทำการรักษา รวมถึงให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ป่วย

ตั้งแต่เริ่มวินิจฉัย คัดกรองเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและตัดสินใจร่วมกันก่อนทำการรักษาด้วยการผ่าตัด ในการผ่าตัดนั้น สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์จะส่งแพทย์ที่มีประสบการณ์และชำนาญการเฉพาะทางในด้านนั้น ๆ เข้าไปร่วมทำการผ่าตัด ยกเว้นการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ซึ่งจะต้องมีการส่งตัวผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ที่ ‘สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์”

บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก
นพ.วีระพันธ์ ตอนถ่ายทอดเทคนิควิธีผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอนโดสโคป ให้กับศัลยแพทย์กระดูกสันหลังจากนานาประเทศ
เทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังผ่านกล้องเอ็นโดสโคป

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่า ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แพทย์จะสอดกล้องเอ็นโดสโคปผ่านทางแผลผ่าตัด ขนาดประมาณ 0.8 – 1.1 เซ็นติเมตร เข้าไปยังเส้นประสาทส่วนที่ถูกกดทับอยู่โดยตรง โดยไม่ต้องตัดเลาะกล้ามเนื้อส่วนที่ดีออก กล้องเอ็นโดสโคปจะช่วยให้แพทย์มองเห็นเส้นประสาทอย่างชัดเจนขึ้น

สามารถเลือกตัดเฉพาะส่วนของหมอนรองกระดูกที่มีการกดทับเส้นประสาทออกได้ ไม่ว่าจะเป็นการกดทับจากหมอนรองกระดูกปลิ้น หรือการบีบรัดจากกระดูกข้อต่อและเส้นเอ็นก็ตาม โดยมากขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 60 นาที จากนั้นผู้ป่วยสามารถเดินได้ทันทีหลังการผ่าตัด ข้อดีคือผู้ป่วยจะมีอาการปวดแผลผ่าตัดน้อยลง ความเสี่ยงในการติดเชื้อต่ำ ลดการทำลายเนื้อเยื่อส่วนดีที่อยู่รอบบริเวณผ่าตัด ผู้ป่วยฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วขึ้น สามารถกลับบ้านได้ภายใน 24 ชั่วโมง และมีค่าใช้จ่ายน้อยลง

สำหรับเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก โดยใช้เทคนิคใส่สกรูยึดกระดูกสันหลัง (Minimally Invasive Fusion Surgery: MIS) เพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูกสันหลังในผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังหลวม เคลื่อน โดยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กลง เสียเลือดน้อยลง ระยะเวลาในการพักฟื้นที่โรงพยาบาลน้อยลง

นอกจากนี้ สถาบันกระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ มีการใช้เครื่อง O-ARM Navigator ซึ่งเป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นำวิถี ทำให้ศัลยแพทย์เห็นภาพกระดูกอย่างชัดเจนทุกมิติจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ศัลยแพทย์วางแผนใส่เครื่องมือเชื่อมกระดูกได้แม่นยำประมาณ 99%

ทั้งนี้ โมเดลความร่วมมือในรูปแบบนี้ นับเป็นการขยายโอกาสให้กลุ่มผู้ป่วยของโรงพยาบาลพันธมิตรได้เข้าถึงการรักษากับแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะด้านอีกทางหนึ่งด้วย โดยจะมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหม่ ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด ตลอดจนกลุ่มผู้ซื้อประกันสุขภาพ

นพ. สุธร กล่าวถึง “แผนการดำเนินงานในปี 2563 และเป้าหมายในอนาคตของสถาบันศูนย์กระดูกสันหลังบำรุงราษฎร์ ในรูปแบบของโมเดล “บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก” ว่าจะมีการรุกขยายโมเดลเข้าไปยังโรงพยาบาลพันธมิตรที่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกและในเขตปริมณฑล ประมาณ 4-5 แห่ง และขณะนี้ มีโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ เป็นโรงพยาบาลพันธมิตรต้นแบบ และอีก 2-3 แห่งอยู่ระหว่างการเจรจา

โดยอนาคตมีแผนดำเนินการจะขยายไปยังโรงพยาบาลพันธมิตรในจังหวัดหลัก ๆ ตามภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศไทย และนอกจากจะให้บริการเกี่ยวกับโรคกระดูกสันหลังแล้ว บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก ยังมุ่งเน้นให้บริการอีก 3 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคข้อ ผู้ป่วยวิกฤต และโรคตา ซึ่งการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์นั้น จะขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงพยาบาลพันธมิตรว่าต้องการให้เข้าไปช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในด้านใด

เชื่อมั่นว่าโมเดล “บำรุงราษฎร์ เฮลท์ เน็ตเวิร์ก” นี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและมั่นใจได้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งอาจจะมีข้อแตกต่างกันด้วยสภาพแวดล้อม ทำเลที่ตั้ง สถานที่การให้บริการ รวมถึงข้อปฏิบัติของโรงพยาบาลนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือ การยกระดับการดูแลผู้ป่วยทั่วภูมิภาคและการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีมาตรฐานสากลได้เพิ่มขึ้น”

Related Posts