พาณิชย์มุ่งหน้าอิสานส่งเสริมผ้าไหมไทยต่อเนื่อง

พาณิชย์มุ่งหน้าอิสานส่งเสริมผ้าไหมไทยต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองรองไปพร้อมกัน ภายใต้แคมเปญ “เส้นทางสายไหม…สู่เมืองรอง” ล่าสุดลงพื้นที่จังหวัดสกลนคร – กาฬสินธุ์ เล่าเรื่องราววัฒนธรรมผ้าไหมท้องถิ่นอีสานและการท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจใช้ผ้าไหมไทย เน้นมองมุมใหม่ ผ้าไทยสามารถแต่งกายให้ดูร่วมสมัยและสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน กระตุ้นผู้ประกอบการให้พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค และส่งเสริมลูกหลานในชุมชนแหล่งผลิตหันมาสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นการผลิตผ้าไหมไทยมากขึ้น

โดยเส้นทางสายไหมสู่เมืองรองภายใต้โครงการ เส้นทางที่ 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา, จังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดสุรินทร์ เส้นทางที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดสกลนครและจังหวัดกาฬสินทร์ เส้นทางที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุดรธานี, จังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดเลย เส้นทางที่ 4 ภาคเหนือ จังหวัดอุทัยธานี, จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพิจิตร เส้นทางที่ 5 ภาคเหนือ จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดชัยนาท เส้นทางที่ 6 ภาคกลาง จังหวัดน่าน, จังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดแพร่

นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมฯ ครั้งนี้ เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสายไหมสู่เมืองรอง เส้นทางที่ 2 โดยจะเดินทางไป ณ จังหวัดสกลนครและกาฬสินธุ์ เพื่อเชื่อมโยงผ้าไหมประจำถิ่นกับการท่องเที่ยวของทั้ง 2 จังหวัดเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นความต่อเนื่องที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองรอง โครงการยกระดับการตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าไหมสู่แหล่งท่องเที่ยว ภายใต้แคมเปญ “เส้นทางสายไหม…สู่เมืองรอง” เน้นสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยเชื่อมโยงต่อยอดสู่แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ กระตุ้นให้เกิดการบริโภคและซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม สินค้า และบริการในเมืองรองมากขึ้น

การลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ มุ่งสัมผัสวิถีชุมชนและวัฒนธรรมผ้าไหมในแต่ละท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด พร้อมถ่ายทอดความประทับใจที่ได้พบเห็น สร้างแรงจูงใจให้สาธารณชนหันมาตระหนักถึงคุณค่าของผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจเลือกซื้อ/เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหม รวมถึง สินค้า และบริการต่างๆ ในจังหวัดเมืองรองมากขึ้น เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้แก่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง

“การสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจนำผ้าไหมไทยมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก จึงต้องทำการสื่อสารให้เกิดมุมมองใหม่ว่าผ้าไทยสามารถแต่งกายให้ดูร่วมสมัยได้ รวมทั้งกระตุ้นแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค และส่งเสริมลูกหลานในชุมชนแหล่งผลิตหันมาสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นการผลิตผ้าไหมไทยมากขึ้น นอกจากนี้ต้องมีการนำเรื่องราวของสินค้ามาถ่ายทอดเพื่อดึงดูดความสนใจ โดยเฉพาะตลาดวัยรุ่นที่ต้องการสินค้าที่มีความทันสมัยและร่วมสมัย ผู้ผลิตจึงควรพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคกลุ่มนี้”

ปัจจุบันสินค้าไลฟ์สไตล์มีหลากหลายประเภท ดังนั้นผู้ผลิตต้องสามารถผลิตและดัดแปลงสินค้าจากผ้าไหมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผ้าผืน สามารถนำมาตัดเย็บให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมใช้งาน เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจของลูกค้ามากขึ้น เป็นต้น

เมืองรอง

นางลลิดา กล่าวว่า สำหรับเส้นทางสายไหมสู่เมืองรองจังหวัดสกลนคร เริ่มต้นด้วยการเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง “วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร” ปูชนียสถานและศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวสกลนคร และ “วัดถ้ำผาแด่น” วัดเก่าแก่ที่ตั้งเด่นตระหง่านบนแนวเทือกเขาภูพาน โดยสามารถชมได้ทั้งทิวทัศน์ธรรมชาติแบบอันซีนของจังหวัด พร้อมความงดงามของงานแกะสลักบนหน้าผาหินอันวิจิตรศิลป์ และที่พลาดไม่ได้ คือ ได้เดินทางไปสัมผัสแหล่งผ้าไหมท้องถิ่นขึ้นชื่อของสกลนคร จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ กลุ่มทอผ้าบ้านหนองแข้ อ.โคกศรีสุพรรณ เป็นแหล่งผลิตที่จะได้ชมทั้งกระบวนการทอผ้า สาวไหม และนวัตกรรมย้อมครามที่สร้างชื่อเสียงให้แก่สกลนครเป็นอย่างมาก กิจกรรมหนึ่งที่ไม่ควรพลาด ผู้ที่มาเยี่ยมชมสามารถเรียนรู้และทดลองทำผ้าย้อมคราม “ร้านครามสกล อ.เมือง” ได้ด้วยตนเอง รวมถึงเลือกซื้อสินค้าผ้าย้อมคราม งานคราฟสวยๆ และผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแท้ๆ เป็นของฝากกลับบ้านได้อีกด้วย

ส่วนเส้นทางสายไหมสู่เมืองรองจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่าง “พิพิธภัณฑ์สิรินธร” หรือ “ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ่มข้าว” ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวไดโนเสาร์แบบครบวงจรและสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย หลังจากนั้นเดินทางไปเรียนรู้เรื่องราวของผลิตภัณฑ์ผ้าไหม 2 แห่ง ณ อ.คำม่วง ได้แก่ *กลุ่มทอผ้าบ้านหนองยางคำ ซึ่งเป็นทั้งแหล่งผลิตผ้าไหมพื้นบ้านที่สวยงาม มีกระบวนการทอผ้าและย้อมสี โดยขั้นตอนการทอและย้อมจะนำเส้นไหมแช่น้ำให้อิ่มตัว นำลงไปใน “น้ำครั่ง” ที่ได้จาก “แซงมะพร้าว” แล้วนำกลับมาล้างให้สะอาด หลังจากนั้น นำมาย้อมด้วยสีธรรมชาติที่เตรียมไว้ เช่น สีแดงอมชมพูจากแก่นฝาง สีเหลืองจากดอกคูณ ฯลฯ เป็นต้น

เมืองรอง

รวมถึง มีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมราคาย่อมเยาจำหน่ายด้วย และกลุ่มอาชีพสตรีผ้าไหมมัดหมี่บ้านสูงเนิน เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมมัดหมี่ที่มีชื่อเสียง (ผ้าไหมมัดหมี่ภูไท) โดยมีการสาธิตการปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม สาวไหม ย้อมผ้า รวมถึงขั้นตอน การมัดหมี่ และแต้มสี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวกาฬสินธุ์เป็นอย่างมาก

“แหล่งผลิตเส้นไหมและผลิตภัณฑ์จากไหมที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศไทยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี มหาสารคาม หนองคาย ขอนแก่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ สกลนคร ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และชัยภูมิ ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานขนาดใหญ่ผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 10 โรง มีการประกอบธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การผลิตเส้นไหม การทอผ้าไหม การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผ้าไหมไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้นด้วยเช่นกัน”

 

Related Posts