
ดีแทค เปิดแผนการขยายโครงข่าย 4G TDD ให้ครอบคลุมบริการทั่วประเทศ พร้อมตอบสนองการบริการที่เป็นธรรม ช่วยลูกค้าให้ผ่านพ้นวิกฤติตามความต้องการที่จำเป็น เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ยืนยันยังไม่มีแผนให้บริการ 5G ภายในปีนี้ เนื่องจากมองความต้องการของลูกค้าจากการใช้งานจริงที่จำเป็น
ชารัด เมโรห์ทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค กล่าวว่า ดีแทคเราเชื่อว่าลูกค้าจะยังต้องการความใส่ใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในครั้งนี้จะทำให้เกิดความต้องการในสินค้าและบริการที่จับต้องได้ ด้วยความต้องการของผู้บริโภคเคยชินกับพฤติกรรมใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความต้องการการสนับสนุนและการเอาใจใส่ที่เพิ่มขึ้น
การดูแลลูกค้าใจดี ในช่วงที่ความต้องการหดตัวจากเศรษฐกิจ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหดตัวลง 8% ของ GDP นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 80% และคาดว่าจะมีแรงงานที่เสี่ยงตกงานกว่า 8.3 ล้านคนในประเทศไทย
ด้วยความผันผวนดังกล่าว จะส่งผลให้เกิดวงจรการเปลี่ยนโทรศัพท์เครื่องใหม่นานขึ้นเป็น 36 เดือนต่อเครื่อง และยังมีการเพิ่มขึ้นของการใช้งานระบบพรีเพด เพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งยืนยันการชะลอตัวของเศรษฐกิจด้วยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่เหลือเพียง 49.2% ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดนับตั้งแต่ตุลาคม 2541
ขณะที่การเดินทางกลับบ้านตามภูมิลำเนามีเพิ่มมากขึ้น สังเกตได้จากอัตราการใช้งานดาต้าในต่างจังหวัดมีเพิ่มมากขึ้นถึง 5 เท่า ซึ่งมีปริมาณการใช้งานดาต้านับตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2563 มีเพิ่มขึ้น 44% สิ่งเหล่านี้ สะท้อนให้เห็น แนวทางการเคลื่อนย้ายการทำงานไปสู่ที่บ้านมากขึ้น ขณะที่การใช้งานในกรุงเทพฯเอง เริ่มมีการใช้งานดาต้าในส่วนของที่อยู่อยู่อาศัยมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าคนเริ่มกลับไปทำงานที่บ้านในต่างจังหวัดและอาจจะยังไม่กลับเข้ามาในเมือง
เรามองเห็นแนวโน้มดังกล่าว ทำให้เราเตรียมการบริการเพื่อตอบรับกับการทำงานในต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมหใม่ และเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริง ๆ ซึ่งดีแทคแบ่งออกเป็น ความต้องการบริการในราคาที่ย่อมเยา อีกทั้งยังมีความต้องการบริการที่ไร้รอยต่อ เพื่อเชื่อมโยงให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อสิ่งที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึง
ซึ่งจากการปรับปรุงบริการส่งมอบที่ไร้รอยต่อของเรา ช่วยให้เกิดการเข้าใช้งานเว็บไซต์ดีแทค เพิ่มขึ้น 68% โดยการใช้งานในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการช้อปปิ้งออนไลน์บนดีแทคแอปพลิเคชั่นมีการเติบโตกว่า 5.6 เท่า ขณะที่ยอดการใช้านสิทธิพิเศษจากแคมเปญ #savestreetfood ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2563 มีการเติบโตขึ้นกว่า 1 แสนราย นอกจากนี้เรายังมีการนำเสนอแคมเปญร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างต่อเนื่อง

ฮาว ริ เร็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด ดีแทค กล่าวว่า ความร่วมมือของเรากับพาร์ทเนอร์ช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงร้านค้าเข้ากับผู้บริโภคได้อย่างดี และยังเป็นการเพิ่มการเชื่อมโยงที่ดี เพื่อกระตุ้นให้เกิดเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และก็ทำให้เกิดความต้องการทางด้านดิจิทัลแบบก้าวกระโดด
วันนี้การเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ในส่วนขอรีวอร์ดที่เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมโยงร้านค้าและลูกค้าหรือส่วนประกอบที่ทำให้เกิดระบบนิเวศน์แบบอีคอมเมิร์ซที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
นอกจากนี้ การเข้าใช้งานออนไลน์ ยังช่วยให้เกิดการตอบสนองความต้องการแบบเฉพาะบุคคลได้อย่างดีเยี่ยม โดยแคมเปญล่าสุด มีการทำเบอร์สวยเพื่อช่วยให้ตอบสนองความต้องการ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าคนนั้นจริง ๆ ซึ่งเป็นการคำนวนทางโหราศาสตร์ ซึ่งตรวจสอบได้เพียงการเข้าไปกรอกหมายเลขที่ใช้อยู่ เพื่อตรวจสอบคำทำนายทั้งผลรวมและการพยากรณ์ที่สำคัญ
ชารัด กล่าวเสริมว่า วันนี้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ในส่วนของราคาที่เป็นมิตร เรามีการรับรูปแบบบริการให้สอดคล้องกับการใช้งานทั้งในรูปแบบรายวัน รายเดือนและรายเดือน อีกทั้งยังมีแคมเปญดีแทคช่วยค่ายา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้า อีกทั้งเต็มใจช่วยเหลือธุรกิจกับแพคเกจ Happy@Home เพื่อช่วยให้ธุรกิจรอดโดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังพร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในส่วนของการประกันโควิด-19 และความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต
เราในฐานะผู้ประกอบการรายหนึ่ง เราตั้งใจที่จะช่วยตอบแทนสังคม ในช่วงเวลาที่ต้องการการดูแลอย่างที่สุดอีกด้วย
ทั้งนี้ในส่วนของเครือข่ายซึ่งความเร็วอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องจำเป็น เราได้มีการเพิ่มจำนวน Massive MIMO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นได้กว่า 3 เท่า ช่วยรองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มขึ้น 44% รอวรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นที่บ้านได้เพิ่มขึ้นกว่า 3000%
ขณะที่การตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน ซึ่งอุปกรณ์เคลื่อนที่ของลูกค้าดีแทคกว่า 76% นั้นรองรับเครือข่าย 4G TDD และสอดคล้องกับแนวโน้มของการเปลี่ยนเครื่องใหม่ราว 36 เดือน ทำให้เราทำการขยายสัญญาณระบบ TDD เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 สถานี
อีกทั้งยังมีการทดสอบคลื่น 5G บนคลื่น mmWave ในภาคอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรก สู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่่ 4 โดยมีการพัฒนากล้องวงจรปิดอัจฉริยะ และการสร้างเครือข่าย Fixed Wireless Access ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยรองรับการใช้งาน IoT จำนวนมหาศาล
เฟรมเวิร์คการทำงาน
เรามีการเตรียมการล่วงหน้า โดยในส่วนของพนักงานดีแทคกว่า 95% มีการเตรียมพร้อมทำงานแบบยืดหยุ่น อีกทั้งยังเพิ่มอำนาจให้พนักงงานตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวข้องได้เลย ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิผลที่เร็วขึ้น และเมินผลงานได้ชัดเจนมากขึ้น และที่สำคัญ ดีแทค เริ่มมีการนำระบบอัตโนมัติ (Botathon) เข้ามาใช้ เพื่อย่นระยะเวลาการทำงานซ้ำซ้อน และป้องกันความผิดพลาดได้ 100% เพื่อช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า
ความสำคัญอยู่ที่การทำงานตามความคาดหวังและเป้าหมาย ซึ่งทุกทีมมีการทำงานและจุดมุ่งหมายเดียวกัน อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการทำงานที่ไม่จำกัดวิธีหรือรูปแบบการทำงานภายใต้เป้ามหมายเดียวกัน และสุดท้ายความรับผิดชอบที่ทุกคนจะต้องรับผอดชอบในส่วนของงานที่ทำ ซึ่งเมื่อทำงานที่บ้านการไม่มีนายคอยดูก็จะต้องมีความรับผิดชอบเช่นเดิม การแบ่งทีมการทำงานให้เล็ก ( Agile Team) และการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เรามีการสำรวจความพึงพอใจของพนักงาน ซึ่งก็เป็นที่พอใจของพนักงาน
เราเชื่อว่าทุกคนต้องการบริการที่ใจดีและบริการทุกคน เราก็ยืนยันว่าจะลงทุน และมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงเวลานั้นๆ มากที่สุด และพร้อมที่จะขยายบริการไฮสปีดอินเทอร์เน็ตให้ทุกคนทั่วประเทศได้เข้าถึงและใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในส่วนของการลงในปีนี้อยู่ที่ราว 1 หมื่นล้าน ซึ่งจะเป็นขยายระบบโครงข่ายออกไปที่ประเทศ TDD 20,000 ไซต์ และในส่วนของ 5G บนคลื่น 2.1 Gz จะเริ่มมีการทดสอบ แต่ยังไม่มีการให้บริการในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีคลื่น 26Gz ใช้งานที่เพียงพอแล้ว อีกทั้งในเรายังมีคลื่น 2300 Mhz ยังสามารถสร้างโครงข่ายการใช้งานที่เพียงพอ และยังไม่มีแผนที่จะขยายไปยังคลื่น 2.1Ghz ในเชิงพาณิชย์ในเวลานี้เช่นกัน