สหราชอาณาจักร เดินตามสหรัฐ ประกาศห้ามซื้อ 5G หัวเว่ย

สหราชอาณาจักร เดินตามสหรัฐ ประกาศห้ามซื้อ 5G หัวเว่ย

สหราชอาณาจักร

สหราชอาณาจักร ตัดสินใจเดินตามรอยสหรัฐ หลังคำแนะนำ MI6 และความขุ่นมัวของสถานกาณ์ฮ่องกง นำไปสู่การตัดสินใจประกาศห้ามผู้ให้บริการภายในประเทศซื้ออุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยเพื่อความมั่นคงและเสรษฐกิจในอนาคต นับตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป พร้อมคำสั่งให้ถอดอุปกรณ์ของหัวเว่ยออกจากระบบการสื่อสารภายในปี 2570

การกีดกันเทคโนโลยีเริ่มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออก และการประกาศแบนสินค้าเทคโนโลยี 5G จากหัวเว่ย ของสหราชอาณาจักรก็อาจจะส่งผลให้ระบบการสื่อสาร 5G ของอังกฤษ พัฒนาการล่าช้าออกไปอีก 1 ปี พร้อมทั้งยังต้องเพิ่มต้นทุนการลงทุนกับอุปกรณ์ที่มีราคาแพงมากยิ่งขึ้นในอนาคต

ความชัดเจนของการสั่งแบนอุปกรณ์ 5G จากหัวเว่ยของรัฐบาลอังกฤษ ถูกรายงายโดยสำนักข่าวบีบีซี ซึ่งระบุคำสั่ง นายโอลิเวอร์ ดาวเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและดิจิทัล ที่ประกาศห้ามหัวเว่ยเข้าร่วมโครงการ 5G ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดยมีคำสั่งดังกล่าวไปยังผู้ให้บริการภายในประเทศห้ามซื้ออุปกรณ์ 5G จากหัวเว่ย นับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป พร้อมทั้งยังสั่งให้ถอดอุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยออกจากระบบภายในปี 2570

โดยสหราชอาณาจักร เริ่มมีความเคลื่อนไหว จากการประกาศแบนระบบ 5G หัวเว่ยของสหรัฐเมื่อกลางปีที่ผ่าน ทำให้สหราชอาณาจักรกลับมาทบทวนด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และเชื่อว่า ความเกี่ยวข้องกับทหารของผู้ก่อตั้งหัวเว่ย เหริน เจิ้งเฟย ซึ่งเป็นอดีตวิศวกรกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน และการมีอิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วโลกที่มากขึ้นของหัวเว่ย จะเป็นภัยต่อความมั่นคง

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการประกาศใช้กฏหมายข่าวกรองแห่งชาติของจีน เมื่อปี 2017 ที่ระบุว่า องกรณ์ต่าง ๆ ของจีนต้องให้ความร่วมมือในงานด้านข่าวกรองแห่งชาติ จนทำให้เกิดความไม่มั่นใจขึ้นของประเทศต่าง ๆ ที่ใช้งานอุปกรณ์เครือข่ายหัวเว่ย จนนำไปสู่การประกาศห้ามใช้อุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยในสหรัฐ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และล่าสุด สหราชอาณาจักร ซึ่งนับเป็น 4 ใน 5 ประเทศที่รวมกลุ่มกันในชื่อ “Five Eyes” เพื่อแลกเปลี่ยนด้านข่าวกรองแห่งชาติระหว่างกัน ทำให้เหลือเพียงประเทศแคนนาดาเท่านั้นที่ยังลังเลในการประกาศแบนอุปกรณ์ 5G หัวเว่ย

ขณะที่ความขัดแย้งของการควบคุมเกาะฮ่องกงของจีน ก็เป็นเรื่องร้อนแรงที่สร้างความขุ่นมัวให้สหราชอาณาจักร ที่มีข้อตกลงบางประการก่อนที่จะยกเกาะคืนให้กับจีนอย่างเป็นทางการ ทำให้กระแสการตอบโต้กันไปมาระหว่างจีนและอังกฤษเริ่มต้นขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีกระแสของการ รักษาสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีนและสหราชอาณาจักร เนื่องจากการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษในช่วงก่อนหน้า

อีกทั้งยังมีการรายงานของผู้อำนวยการหน่วยสืบราชการลับของสหราชอาณาจักร (MI6) ที่ระบุสาเหตุหลายส่วน จนเป็นเหตุให้ต้องจับตาดูและพิจารณาการใช้งานอุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยในประเทศอย่างใกล้ชิด และทำให้เกิดการประกาศห้ามไม่ให้หัวเว่ยเข้าร่วมพัฒนาโครงข่าย 5G ของอังกฤษ และนำไปสู่ความเสียหายมูลค่ากว่า 2 พันล้านปอนด์ (ราว 8 หมื่นล้านบาท)

ทั้งนี้ด้วยศักยภาพของโครงข่าย 5G ที่จะเชื่อมโยงการทำงานของเครื่องจักรและเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด กลุ่มประเทศเหล่านี้เชื่อว่า ความสามารถในการควบคุมโครงข่ายของหัวเว่ยจะทำให้เกิดการโจรกรรมข้อมูลที่สำคัญบนระบบเครือข่าย ตลอดจนสามารถสะกัดกั้นการใช้งานของอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงเครือข่ายทั้งหมดไว้ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในอนาคต

แน่นอนว่า ความคิดของการใช้งานเทคโนโลยีย่อมมีทั้งดีและไม่ดี เมื่อเครื่องมือไปตกอยู่กับคนไม่ดีก็ย่อมเป็นภัย แต่กระนั้น การสร้างวาทกรรม เพื่อโยนความไม่ชอบธรรมให้กับอุปกรณ์ 5G ซึ่งควบคุมโดยบริษัทที่อยู่ในแต่ละประเทศนั้น ๆ เองได้แบบ 100% และในทางเทคนิคแล้ว ร่องรอยทางดิจิทัล สามารถสืบค้นได้ง่ายดายกว่า ร่องรอยทางกายภาพ แต่จน ณ วันนี้ นับจากวันที่เริ่มมีข้อกล่าวหามานานแรมปี ก็ยังไม่มีหลักฐานสักชิ้นปรากฏให้เห็นว่ามีการโจรกรรมหรือสร้างความปั่นป่วนทางเทคโนโลยีจากหัวเว่ยเกิดขึ้น

และที่สำคัญ แม้ว่าจะมีอุปกรณ์ 5G แต่ระบบการสื่อสารก็ยังต้องเชื่อมต่อสายเคเบิลระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ไม่ใช่หัวเว่ยผู้เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวแน่นอน การกล่าวอ้างว่าหัวเว่ยจะสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ทั้งหมดโดยที่ผู้ให้บริการจะไม่รู้เรื่อง ก็ดูจะเป็นเรื่องปรามาทผู้ให้บริการการสื่อสารในประเทศเสียนี่กระไร

ขณะที่เทคโนโลยีเดิม ๆ ที่ถูกดักผ่านโครงการข่าวกรองต่าง ๆ กลับมีหลักฐานการดักฟังและถูกเปิดเผยออกมาในช่วงเวลาก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว การล้วงข้อมูลนั้นมีอยู่จริงและเกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่าใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ และใครกำลังจะเสียผลประโยชน์ต่างหากที่จะสร้างกระแสพายุเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นมาปั่นป่วนวงการ ซึ่งท้ายที่สุดเราก็เห็นกันอยู่ว่าบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐถูกเรียกสอบอยู่บ่อยครั้ง เมื่อไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลนั่นเอง

Related Posts