
ออปโป้ เผยกลยุทธิ์ลุยตลาดสมาร์ทโฟน 5G ในประเทศไทย พร้อมรุกฆาตสู่ยอดขายอันดับหนึ่งอีกครั้ง ด้วยสมาร์ทโฟน 5G พร้อมใช้ 3 รุ่นใหม่ OPPO Reno4 Z 5G, OPPO Reno4 Pro 5G และ OPPO Find X2 Pro Green Vegan Leather Edition ยืนยันครึ่งปีแรกยังเป็นผู้ขายสมาร์ทโฟนออฟไลน์อันดับ 1 พร้อมอุบปลายปีเตรียมเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่รับ Home Solution แน่นอน
ชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร ออปโป้แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การพัฒนา 5G ของ ออปโป้ เริ่มนับตั้งแต่ปี 2015 ที่เริ่มก่อตั้งทีมมาตรฐาน 5G ขึ้น และเริ่มเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G เป็นครั้งแรกในปี 2019 จวบจนปัจจุบัน ซึ่งเราได้ตั้งงบการวิจัยและพัฒนาภายใน 3 ปีนี้กว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยเจ้าหน้าที่วิจัยกว่า 1 หมื่นคน ที่สามารถพัฒนาและจดสิทธิบัตรได้กว่า 4.5 หมื่นฉบับ ซึ่งคิดเป็นอันดับ 2 ของบริษัทในประเทศจีน และมีสิทธิบัตรเฉพาะ 5G มากกว่า 3,000 ฉบับ
โดยทิศทางการพัฒนา 5G ของ ออปโป้ จะสอดคล้องกับการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์การใช้งานงานสูงสุด ทั้งการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ IoT ต่าง ๆ การใช้งานร่วมกับ AR และการใช้งานร่วมกับ AI ผ่าน 4 แกนหลักของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของกลุ่มเพอโซนอล กลุ่มโฮม กลุ่มออฟฟิศ และกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทีวีได้ในราวปลายปีนี้ในส่วนของกลุ่มโฮม
ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มของผลิตภัณฑ์ จะเข้ามาเป็นระบบนิเวศน์ของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ออปโป้ โดยแผนการดำเนินงานนั้นนอกจากกลุ่มเพอโซนอล ที่มีทั้งการเปิดตัวสมาร์ทโฟน ออปโป้วอทช์ และหูฟังอัจฉริยะแล้ว ในกลุ่มของโฮมก็ยังมีทั้งเครื่องฟอกอากาศและคาดว่าจะมีการเปิดตัวสมาร์ททีวีในช่วงปลายปีอีกครั้ง ขณะที่กลุ่มอื่นๆจะเริ่มทยอยเปิดตัวในลำดับต่อไป
และในไตรมาส 4 ปี 2020 นี้เชื่อว่าทุกค่ายผู้ให้บริการก็พร้อมแล้วที่ขยายสัญญาณ 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งในปีนี้ออปโป้ ก็พร้อมลุยการตลาดสมาร์ทโฟน 5G แล้ว โดยประเดิมด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟน 3 รุ่นใหม่ OPPO Reno4 Z 5G, OPPO Reno4 Pro 5G และ OPPO Find X2 Pro Green Vegan Leather Edition แบบพร้อมใช้งานโดยไม่ต้องรอการอัปเกรดซอร์ฟแวร์เหมือนครั้งที่ผ่านมา
ภายใต้ 3 รุ่นใหม่นี้ถูกวางตัวให้ตอบโทย์ 3 นิยามหลักคือ Real Time, Smooth และ Fast โดย RENO 4 Z 5G จะเข้ามาตอบโจทย์เรียลไทม์ ด้วยการออกแบบให้มีส่วนเว้าโค้งกระชับมือ รองรับการใช้งาน 2 ซิมแบบ Dual 5G ที่สามารถสลับเปลี่ยนซิมการใช้งาน 5G ได้ทั้ง 2 ซิม มาพร้อมการใช้สัญญาณ 5G แบบ SA และ NSA พร้อมจอ 120Hz กล้องหน้าคู่และกล้องหลัง 48 ล้าน รองรับการชาร์จเร็ว 18W Charge ด้วยพื้นที่จัดการ Ram 8 GB และ Rom 128 GB
ขณะที่ RENO 4 Pro 5G จะเข้ามาตอบโจทย์ Smooth ของการใช้งานเครื่องเพื่อการถ่ายวิดีโอได้แบบลื่นไหล ด้วยการออกแบบให้เครื่องบางถึง 7.6 มม. และหนักเพียง 172 กรัม พร้อมพลังการประมวลผลจากซีพียู Snapdragon 765G หน่วยความจำ Ram 12 GB และ Rom 256GB รองรับการถ่ายวิดีโอได้แบบโปรด้วยฟังก์ชั่น Ultra Night wide angle Video และระบบกันสั่นวิดีโอ Ultra Steady Video 3.0 และโหมด live HDR ด้วยหน้าจอแบบ 90Hz พร้อมระบบการชาร์จเร็ว 65W ด้วยระบบปฏิบัติการ Color OS 7.2
ขณะที่รุ่นสุดท้ายที่เปิดตัวในวันนี้ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องของ Fast หรือความเร็วนั่นก็คือ OPPO Find X2 Pro Green Vegan Leather Edition ซึ่งจะแตกต่างจากรุ่นเปิดตัวก่อนหน้าด้วยสีพิเศษ พร้อมการอัปเกรดให้พร้อมใช้งาน 5G นับตั้งแต่วันที่ใส่ซิมเปิดเครื่องได้เลย โดยตัวเครื่องมาพร้อมขุมพลัง Snapdragon 865 พร้อม LPDDR5 Ram ขนาด 12GB และ Rom 512GB
โดยทั้ง 3 รุ่นพร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ และคาดว่าจะสามารถปลุกกำลังซื้อสมาร์ทโฟน 5G ในตลาดให้กลับมาคึกคักได้อีกครั้งด้วยระดับราคาสมาร์ทโฟน 5G ที่เริ่มต้นด้วยราคาหมื่นต้น ๆ ในรุ่น OPPO Reno4 Z 5G หรือจะ 2 หมื่นกลาง ๆ ในรุ่น RENO 4 Pro 5G และสุดท้ายในรุ่น OPPO Find X2 Pro Green Vegan Leather Edition ด้วยราคา 2หมื่นปลายๆ
เรายืนยันว่าในช่วงครึ่งปีแรก 2020 ที่ผ่านมา เรายังสามารถสร้างยอดขายออฟไลน์ได้เป็นอันดับ 1 อยู่ แม้ว่าตัวเลขของบางสำนักวิจัยจะออกมาระบุว่า ไตรมาสที่ 2 เราจะหล่นจากที่ 1 แล้วก็ตาม