กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินหน้าแผนใช้ดิจิทัลขับเคลื่อนกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 โดยจับมือ ไปรษณีย์ไทย สนับสนุนผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน ให้มีช่องทางการขายออนไลน์ที่เว็บไซต์ thailandpostmart.com โดย 3 ไตรมาสของปี 2563 สร้างยอดขายแล้วกว่า 104 ล้านบาท คาดทั้งปีจะเกิดยอดขสยได้กว่า 150 ล้านบาท โดยสามารถช่วยสร้างรายได้ให้ 14 จังหวัดภาคใต้แล้วกว่า 15 ล้านบาท
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานภายใต้สังกัดได้เตรียมเร่งพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันด้วยแผนงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง และจังหวัดพังงา
โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 พร้อมศึกษาและเตรียมความพร้อมในการรองรับนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยว การส่งเสริมการลงทุน ตลอดจนประมวลประเด็นปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากประชาชนในมิติต่างๆ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตรงกับความต้องการ และแก้โจทย์ที่หลาย ภาคส่วนกำลังเผชิญในขณะนี้
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังมีความตั้งใจที่จะติดตามความก้าวหน้าการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลเพื่อยกระดับเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยเฉพาะในส่วนของโครงการท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Pier) ต้นแบบ ท่าเทียบเรืออ่าวปอ ที่จะพัฒนาจัดการท่าเรือเพื่อการช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยการคัดกรองและติดตามโรคระบาด โครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสาธารณะสมาร์ทซิตี้ จ.ภูเก็ต (Hi-speed Public Internet for Smart Phuket)
รวมถึงการขับเคลื่อนศูนย์ดิจิทัลชุมชน เพื่อส่งเสริมการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล และสนับสนุนผู้ประกอบการชุมชนให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการซื้อขายสินค้าและบริการ และส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าชุมชนผ่านไปรษณีย์ไทย (Thailandpostmart) ซึ่งเชื่อว่าหลังกิจกรรมการสัญจรและลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น และมั่นใจว่าการขับเคลื่อนแผนงานด้านดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายมูซาคาน เดเช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านปฏิบัติการภูมิภาค 1 สายงานปฏิบัติการกล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ในฐานะหน่วยงานการสื่อสารและขนส่งของชาติ ในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน โดยไปรษณีย์ไทยมีแนวทางในการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนเพื่อให้คนในพื้นที่มีรายได้ที่มากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตสินค้าจากผลผลิตในท้องถิ่นเป็นสินค้าโอทอป ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลผลิตจากการเกษตร สินค้าไลฟ์สไตล์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก ซึ่งในช่วงที่ประสบกับภาวะการแพร่ระบาดของโควิด – 19 และว่างเว้นกิจกรรมการท่องเที่ยว จำเป็นจะต้องผลักดันสินค้าเหล่านี้ให้ถึงมือผู้บริโภคทั่วประเทศผ่านระบบการซื้อขายออนไลน์ และอาศัยระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการยกระดับมาตรฐานคุณภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและชุมชนให้มากกว่าที่ผ่านมา
เว็บไซต์ thailandpostmart.com เป็นแพลตฟอร์ม e-Marketplace ของ ไปรษณีย์ไทย ที่รวบรวมสินค้า ชุมชน สินค้าเกษตร ที่มีคุณภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคได้จับจ่ายสินค้าดีจากทั่วไทยโดยไม่ต้องเดินทาง และยังเป็นการเพิ่มช่องทางการขายให้กับผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล สนับสนุนให้เกิดการซื้อ ขาย จ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัย
เป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง สามารถกระจายสินค้าทุกชิ้นให้ถึงมือคนไทยได้รวดเร็ว สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ชอบความไว ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อสินค้าจากวิสาหกิจชุมชนและสินค้าดีจากทั่วไทยได้ตลอด 24 ชม. พร้อมจัดส่งสินค้าถึงมือภายใน 1-2 วันทำการหลังรับคำสั่งซื้อและชำระเงิน
โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ 14 จังหวัด ลงทะเบียนจำหน่ายสินค้าผ่านเว็บไซต์ Thailandpostmart.com จำนวน 279 ราย มีจำนวนสินค้าขึ้นทะเบียนจำหน่าย 428 รายการ โดยตั้งแต่เดือน มกราคม – ตุลาคม 2563 มีจำนวนการสั่งซื้อสินค้าในพื้นที่ภาคใต้จำนวน 150,120 คำสั่งซื้อ คิดเป็นเงินกว่า 15 ล้านบาท โดยสินค้าขายดีเป็นสินค้าประเภทอาหารแห้ง อาหารแปรรูป และเครื่องดื่ม อาทิ ปลาหมึกอร่อยเมืองระนอง กาแฟถ้ำสิงห์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบเกลือ กะปิเกาะเหลาระนอง เป็นต้น
ขณะที่ภาพรวมของการใช้งานเว็บไซต์ Thailandpostmart.com มีจำนวนร้านค้าเข้าร่วมทั่วประเทศกว่า 2600 ร้านค้า และมีสินค้ากว่า 4หมื่นรายการ โดยราคาที่แสดงผ่านเว็บไซต์เป็นราคาที่รวมการขนส่งถึงบ้านแล้ว โดย ไปรษณีย์ไทย ซึ่งในปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 150 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจำหน่ายในปี 2563 ได้แล้วกว่า 104 ล้านบาท
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งเน้นสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบ e-Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ที่ต้องมีการอยู่บ้านเพื่อลดการแพร่ระบาดตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา เป็นปัจจัยทำให้การซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณการส่งสินค้าผ่านระบบไปรษณีย์ไทยเติบโตขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ซึ่งไปรษณีย์ไทยได้พัฒนารูปแบบบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มธุรกิจ e-Commerce มากยิ่งขึ้น เช่น บริการรับฝากนอกที่ทำการ หรือ Pick-Up Service LINE Official @ThailandPost ที่สามารถติดตามสถานะสิ่งของ ค้นหาไปรษณีย์ใกล้บ้าน เรียกใช้บริการ Pick-Up Service สร้างใบจ่าหน้าเตรียมการฝากส่ง
ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งมั่นสร้างบริการที่สามารถรองรับความต้องการผู้ใช้บริการทุกกลุ่มได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม และพร้อมเดินหน้าพัฒนาคุณภาพการให้บริการเพื่อเป็นผู้ให้บริการสื่อสารและขนส่ง โลจิสติกส์ที่คนไทยจะไว้วางใจได้เสมอ