ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สงวนความเห็น ยืนยันจุดยืน ไม่อนุญาตให้รวมธุรกิจ ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)ด้วยข้อกังวลผลกระทบต่อผู้บริโภคและสาธารณะ อันเนื่องมาจากแนวโน้มของสภาวะการแข่งขันที่จะเป็นปัญหาหลังการควบรวม
- – กสทช. ประชุม 11 ชม. ตีมึน เลี่ยงบาลี “รับทราบ” ควบรวม ทรู – ดีแทค พร้อมเงื่อนไข
- – ธนาธร แนะรัฐแทรกแซง หาต่างชาติซื้อเทเลนอร์ แทนควบรวมจากรายเดิม
เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565 มีการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เพื่อพิจารณาการรายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (TRUE Corp) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน) (dtac)ในการประชุมดังกล่าว ศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้สงวนความเห็น รับทราบการรวมธุรกิจ โดยพิจารณาว่ากรณีดังกล่าว เป็นการถือครองธุรกิจประเภทเดียวกันซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแง่การแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งนี้ โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 8 ของประกาศ กทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
เหตุผลในการยืนยันที่จะไม่อนุญาตให้รวมธุรกิจ มี 7 ข้อ ได้แก่
1) เมื่อรวมธุรกิจ TRUE และ dtac แล้ว จะทำให้เกิดบริษัทใหม่ (NewCo) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) ดังนั้น ทั้ง TUC และ DTN จะกลายเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีความความสัมพันธ์กันทางนโยบาย หรืออำนาจสั่งการเสมือนเป็นหน่วยธุรกิจเดียวกัน (Single Economic Entity) ที่ไม่มีการแข่งขันระหว่างกันตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ทั้งนี้ ก่อนการรวมธุรกิจ TUC มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 31.99 และ DTN มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 17.41 ภายหลังการรวมธุรกิจ NewCo จะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 49.40 และทำให้ในตลาดเหลือผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 2 ราย (เกิดสภาวะ Duopoly)
2) SCF Associates Ltd. ที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันและนโยบาย การสื่อสารระดับโลกสรุปว่า จากการศึกษาแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคมากกว่าข้อดีที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งมาตรการเฉพาะเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ทั้งหมด ในบริบทของตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทย เช่น การสนับสนุนให้เกิดผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MNO) รายใหม่, การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดค้าส่ง, การร่วมใช้คลื่น (Roaming) และการโอนคลื่นความถี่ (Spectrum Transfer) เป็นต้น
ในบริบทของเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องลดช่องว่างทางดิจิทัลอย่างประเทศไทย โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอุปกรณ์ที่คนใช้มากที่สุดเพื่อเชื่อมต่อออนไลน์ การรวมธุรกิจซึ่งจะนำไปสู่การกระจุกตัวของตลาด และโอกาสที่ค่าบริการจะสูงขึ้น จึงไม่สมควรอนุญาตด้วยเหตุผลเพื่อการพัฒนาประเทศที่ต้องพึ่งพิงตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีการแข่งขันสูงและเป็นตัวกระตุ้นทางเศรษฐกิจ
3) การบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจภายใต้เงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะต่างๆ ที่บังคับผู้ขอรวมธุรกิจนั้น ไม่น่าจะช่วยเพิ่มระดับการแข่งขันในตลาดได้ และอาจเป็นไปได้ยากในภายหลังจากการควบรวม โดยในส่วนของ กสทช. ก็จะต้องใช้อำนาจทางกฎหมายและทรัพยากรในการกำกับดูแลอย่างมาก โดยไม่อาจคาดหมายได้ว่าเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันในตลาดได้เช่นเดียวกับที่เคยมีอยู่ก่อน การควบรวมหรือไม่
4) ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงประโยชน์ต่อสาธารณะ จากเอกสารประกอบการขอรวมธุรกิจ ยังไม่ชัดเจนและเพียงพอ
5) การรวมธุรกิจมีโอกาสนำไปสู่การผูกขาดและกีดกันการแข่งขัน ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 40, 60, 61 และ 75 และขัดต่อแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 ที่ต้องเพิ่มระดับการแข่งขันของการประกอบกิจการโทรคมนาคม
6) การให้รวมธุรกิจจะส่งผลกระทบกว้างขวางและต่อเนื่องในระยะยาว อีกทั้งยังหวนคืนไม่ได้ เพราะตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยอยู่ในภาวะอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดและเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดได้ยาก เช่นกรณีการรวมธุรกิจของเม็กซิโกและฟิลิปปินส์ ตามรายงานของที่ปรึกษาอิสระจากต่างประเทศ แสดงให้เห็นกรณีของต่างประเทศว่าเป็นเรื่องยากที่จะหวนคืนจากภาวะผูกขาดโดยผู้ประกอบการหนึ่งหรือสองรายไปสู่สภาพการแข่งขันก่อนการรวมธุรกิจ
7) หนึ่งในผู้ขอรวมธุรกิจมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจครบวงจร (Conglomerate) รายใหญ่ ซึ่งครอบครองตลาดสินค้าและบริการในระดับค้าปลีกและค้าส่งของทั้งประเทศ จึงมีโอกาสที่จะขยายตลาดโดยใช้กลยุทธ์ขายบริการแบบเหมารวม เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจในตลาดค้าส่ง ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันกับผู้ประกอบการรายอื่น
ถึงแม้จะแพ้โหวต แต่ ศ.ดร.พิรงรอง เห็นว่าบทบาทของการเป็น กสทช. จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ และให้ความเห็นในทุกมิติที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนและประโยชน์สาธารณะ จึงได้เสนอในที่ประชุม ให้พิจารณาเรื่องเงื่อนไขและข้อเสนอแนะสำหรับมาตรการเฉพาะก่อนและหลังการรวมธุรกิจ ดังต่อไปนี้
(1) NewCo ขายกิจการบริษัท DTN ให้กับผู้ประกอบกิจการหรือเอกชนรายอื่นที่มีศักยภาพ และไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัทของผู้ขอรวมธุรกิจ โดยเป็นการโอนคลื่นความถี่ และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงโอนถ่ายฐานลูกค้าที่มีอยู่ทั้งหมด หรือขายหุ้นบางส่วน เพื่อให้ NewCo ถือครองหุ้นในธุรกิจประเภทเดียวกัน ไม่เกินร้อยละ 10 (เช่น NewCo ถือหุ้นใน TUC ร้อยละ 99.9 แต่ถือหุ้นใน DTN ได้ไม่เกินร้อยละ 10)
(2) มิเช่นนั้น จะต้องคืนคลื่นความถี่ที่เกินเพดานการประมูล ได้แก่ คลื่น 2100 MHz จำนวน 2×15 MHz และ คลื่น 700 MHz จำนวน 2×10 MHz รวมทั้งกำหนดให้ลดอัตราค่าบริการเฉลี่ยร้อยละ 20 จากอัตราค่าบริการขั้นสูง (Price Cap) โดยผู้ขอรวมธุรกิจจะต้องคิดอัตราค่าบริการเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจำนวนผู้ใช้บริการในแต่ละแพคเกจ และประกาศอัตราค่าบริการให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ พร้อมกับมีบทลงโทษ หากผู้ขอรวมธุรกิจทำไม่ได้ นอกจากนี้ ยังต้องกำหนดเงื่อนไขให้มีการขยายโครงข่าย 5G ให้ครอบคลุมประชากรร้อยละ 85 ภายใน 3 ปี
อย่างไรก็ดี มีเพียงประเด็นการขยายโครงข่าย 5G ที่ได้รับความเห็นชอบตามมติที่ประชุม กสทช.