กูรูด้าน SME “หมู วรวุฒิ” เผยโอกาสทองของไทยในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ จากกระแส “Bangkok Blue” พฤติกรรมเศร้าเพราะคิดถึงเมืองไทยของชาวยุโรปที่เกิดขึ้น พร้อมชู 4 สูตรการท่องเที่ยวสายมู “ไหว้พระ ท่องเที่ยว กินของอร่อย และช้อปปิ้ง” ส่งเสริมรูปแบบการท่องเที่ยวต่อเนื่อง ยืดระยะเวลาการท่องเที่ยว ขยับค่าใช้จ่ายต่อหัวให้สูงขึ้น และสร้างความมั่นใจ ปลอดภัยให้เทียบเท่าสกล
นายวรวุฒิ อุ่นใจ ผู้ก่อตั้ง officemate กูรูด้าน SME และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โลกหลังยุคโควิด “การท่องเที่ยว” ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของแต่ละประเทศในการพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าต่อไปได้เร็วที่สุด เนื่องจากไม่ต้องลงทุหรือรอการกลับมาของกำลังซื้อ แถมความต้องการหลังการอั้นให้อยู่กับที่ของแต่ละประเทศก็ยังเป็นส่วนเสริมให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้เร็วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ประเทศไทยก็เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวประเทศต่าง ๆ จากทั่วโลก อีกทั้งยังมีกระแส “Bangkok Blue” ที่เกิดขึ้นจากการที่ชาวยุโรปที่เคยเดินทางเข้ามาเที่ยวเมืองไทย แล้วได้โพสต์ผ่านโลกโซเชียลแบบเศร้า ๆ อารมณ์คิดถึงเมืองไทย อยากมา แต่ติดช่วงโควิด ทำให้เกิดการถวิลหาของนักท่องเที่ยว
“หมู วรวุฒิ” ยังกล่าวต่อว่า เราทราบกันดีว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตลอด3 ปีในช่วงที่ผ่านมา เพราะด้วยการล็อกดาวน์จากภาวะการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด ซึ่งเราก็เพิ่งเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ในปี 2565 เป็นปีแรก โดยมีนักท่องเที่ยวกลับมา 12 ล้านคน แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ 1 ใน 4 ของช่วงก่อนโควิด ซึ่งก่อนโควิดเรามีนักท่องเที่ยวราว 40 ล้านคน โดยเรามีสถานะทางการท่องเที่ยวเป็นอันดับ 4 ของโลก
ในปี 2566 รัฐบาลตั้งเป้าในการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศราว 25 ล้านคน นั่นหมายความว่าปีนี้จะเติบโต 100% ขึ้นไป และในปีหน้า 2567 รัฐบาลก็ตั้งเป้าที่จะดึงนักท่องเที่ยวกลับมาอยู่ที่กว่า 40 ล้านคน ดังนั้นถ้าพูดถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ก็น่าจะเป็นเพียงเซ็กเตอร์เดียวที่จะมีการเติบโต 100% ต่อเนื่องไปอีก 2 ปี ซึ่งก็เป็นโอกาสที่รัฐและเอกชนตองจัดการได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทย ติดอันดับจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งด้วยจิตใจบริการของคนไทย พร้อมทั้งทรัพยากรทางธรรมชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปะวัฒนธรรมของไทย ก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง วันนี้นี้ไทยเราอยู่ในโอกาสทองของการท่องเที่ยวที่หาได้ยากในรอบหลายสิบปี เราไม่เคยอยู่ในเรดาร์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากเท่ากับยุคหลังโควิดเช่นนี้มาก่อน ทำให้เราต้องกลับมาโฟกัสที่การท่องเที่ยว
ในฐานะของประเทศที่ต้องการเยียวเศรษฐกิจหลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด ทุกประเทศล้วนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องบอกว่า การท่องเที่ยว เป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สั้นและเห็นผลรวดเร็วที่สุด เพราะเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาก็จะเข้าพัก ท่องเที่ยว กินอาหาร ช้อปปิ้ง เงินไหลเวียนอยู่ในระบบทันที ไม่ต้องรอการลงทุน ไม่ต้องรอการจ้างงานอะไรที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล เพราะเพียงแค่ดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาได้ 25 ล้านคนก็สามารถเห็นผลกระตุ้นเศรษฐกิจทันที่จากคน 25 ล้านคน การท่องเที่ยวจึงเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศและยังเป็นการกระจายรายได้ไปยังทั่วทุกภูมิภาค เงินจากการท่องเที่ยวจะไหลตรงเข้าสู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและร้านค้ารากหญ้าโดยตรง ทั้งอาหารไทย และการช้อปปิ้งของไทย
แต่หากไม่มีการจัดการเหมาะสมทั้งของภาครัฐและเอกชนแล้ว ทั้งการไม่มีแหล่งกินอาหารอร่อย เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางไปแล้วก็จะเดินทางออกนอกพื้นที่ทันทีเพื่อหาที่ทานอื่น หรือหากไม่มีแหล่งช้อปปิ้งก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นภาครัฐและเอกชนจึงต้องเข้าไปเตรียมความพร้อมในการจัดการการท่องเที่ยวให้มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม
ทำไมการท่องเที่ยวกระทบจีดีพีประเทศสูง
วันนี้การวัดประสิทธิภาพของประเทศถูกกำหนดค่าด้วยตัวเลข GDP ซึ่งก็ประกอบไปด้วย C(การบริโภคภายใน) I (การลงทุน) G (การลงทุนภาครัฐ) X (ส่งออก) – M (นำเข้า) = ดัชนีมวลรวมภายในประเทศ ซึ่งแม้ว่าโดยตรงแล้วจะไม่มีเลขของการท่องเที่ยวเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งแม้ว่าการท่องเที่ยวจะเหมือนกับตัวเลขการส่งออก เพราะมีรายได้จากต่างชาติ แต่จริง ๆ แล้วการท่องเที่ยวเข้าข่ายการส่งผลต่อทุกปัจจัยที่จะนำมาคำนวนเป็นสูตรการคิด GDP ทั้งหมด เนื่องจากเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาก็จะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศด้วย ขณะที่เมื่อการท่องเที่ยวเกิดภาคเอกชนก็มีการลงทุนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว อีกทั้งภาครัฐก็จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าถ้าคิดทั้งระบบแล้ว การท่องเที่ยวมีผลต่อ GDP ไทยมากกว่า 20% เนื่องจากมีการไปแฝงอยู่กับหลายๆปัจจัยดังที่กล่าวว่า นี่คือความสำคัญต่อบทบาทการท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทย
ช่วงนี้มีปรากฎการณ์หลังจากที่ไทยเราเป็นประเทศเป้าหมายต้น ๆ ของโลกในการเดินทางมาท่องเที่ยว มันเกิดภาวะที่เรียกว่า Bangkok Blue ขึ้นมา โดยมีชาวยุโรปและชาวอเมริกันหลายคนที่กลับไปประเทศต้นทางแล้ว มีอาการโหยหา คิดถึงประเทศไทย แล้วก็ไปโพสต์ลงโซเชียล จนกลายเป็นกระแสไวรัลที่โด่งดังช่วงหลังโควิด ประมาณว่าไม่เคยไปที่ประเทศไหนที่มีความสุขเท่ากับตอนที่มาเที่ยวเมืองไทยเลย ซึ่งกระแสตรงนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องรักษาแรงเหวี่ยงเช่นนนี้ไว้ให้ดี ๆ แล้วจะทำให้เกิดภาวการณ์เที่ยวซ้ำได้บ่อย ๆ
โดยไทยเรามีความพร้อมด้านสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ทั้งภูเขา ทะเล น้ำตก ที่ครบครัน และยังมีการท่องเที่ยวเชิงศิลปะวัฒนธรรม ที่มีแนวทางศิลปะร่วมสมัยมากมายที่เกิดขึ้น แต่เรายังทำได้ไม่ดีเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงช้อปปิ้ง ในการกระตุ้นค่าใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวที่เข้าไปที่เกาหลี กลับมีค่าใช้จ่ายต่อหัวมากกว่าไทยถึง 5 เท่า ไทยจึงต้องเตรียมพร้อม ความสะดวกให้การท่องเที่ยวเชิงช้อปปิ้งให้มากขึ้น ทั้งเรื่องของ 1.การมีสินค้าดี มีคุณภาพ 2. การมีเขตช้อปปิ้งปลอดภาษี (Duty Free) ที่หลากหลายมากขึ้น 3. การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีความสะดวก เฉกเช่นในประเทศญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวสามารถของคืนเงินภาษีที่ร้านค้าได้เลย เรื่องเหล่านี้ถ้าเราทำได้ก็จะสามารถดึงดูดการช้อปปิ้งต่อหัวของนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น รายได้ก็จะเข้าประเทสไทยมากขึ้น
การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม หรือสันทนาการ ก็เป็นอีกโอกาของไทย ทั้งการจัดอีเว้นท์ การแข่งรถ กีฬา คอนเสิร์ต เทศกาลบอลลูน การวิ่งมาราธอนเป็นต้น เป็นโอกาสที่ไทยสามารถพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมได้อีกมาก โดยทั้ง 2 อย่างนี้เป็นโอกาสที่สร้างได้จากมนุษย์ (ช้อปปิ้ง และ กิจกรรม ) เรายังทำได้น้อยไป ซึ่งหากเราสามารถทำได้ดี เชื่อว่าในอีกไม่กี่ปีเราจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยทะลุ 80 ล้านคนได้ไม่ยาก เชื่อว่าหากมีการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องจะสามรรถทำได้ภาย 3-4 ปีนี้ได้ไม่ยาก
ขณะที่สิ่งที่จะต้องกำจัดให้หมดไปให้เร็วที่สุดก็คือ “ภัยคุกคามนักท่องเที่ยว” ทั้งการรีดไถจากเจ้าหน้าที่ มาเฟียการท่องเที่ยว พวกค้ากำไรเกินควร พวกเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เหล่านี้รัฐต้องเข้าไปจัดการอย่างเร่งด่วน ไม่งั้นเป้าหมายของการดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาก็จะสะดุด เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วก็จะไม่ประทับในและส่งต่อประสบการณ์ที่แย่ ๆ ไปยังนักท่องเที่ยวรายอื่นๆ ต่อไป และไม่เกิดการกลับมาท่องเที่ยวซ้ำที่ประเทศไทยอีก
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีตัวเลขที่น่าตกใจว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ออกไปท่องเที่ยวทั่วโลกนั้น จำนวนผู้เสียชีวิตจากการท่องเที่ยวต่างประเทศของนักท่องเที่ยวจีนกว่า 70% เกิดขึ้นในประเทศไทย แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้าไทยเพียงกว่า 10% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนต่อปีเท่านั้น รัฐจึงต้องออกมาตรการป้องกันที่เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นและความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว ตลอดจนสวัสดิการด้านการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นและรวดเร็วที่สุด เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวประเทศไทยแล้ว ได้รับความสุขกาย ปลอดภัย สบายใจ แบบนั้นจึงจะทำให้ภาพการท่องเที่ยวของไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เชื่อว่าหากเราทำได้ เราจะสามารถมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับ 2 ของโลกได้ไม่ยาก ทั้งการทำให้นักท่องเที่ยว พักกับเรามากขึ้น ใช้เงินกับเรามากขึ้น และอยากเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งประเทศเบอร์ 2 และ 3 ทำรายได้มากกว่าเราเพียงแค่กว่า 20% เท่านั้น ปัจจุบันเราเป็นอันดับ 4 มีรายได้จากการท่องเที่ยวราว 6 หมื่นล้านเหรียญ เชื่อว่า 2 จะสามารถเติบโตได้เป็นที่ 2 ด้วยโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่มีผู้คนทั่วโลกต่างโหยหาการมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย
การท่องเที่ยวสายมู แม่เหล็กสำคัญดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย
การท่องเที่ยวสายมู ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มีมานานแล้ว โดยสามารถสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืน เพราะเพียงแค่ที่พระพรหมเอราวัณ จุดเดียวก็สร้างรายได้หมุนเวียนได้หลายพันล้านบาท คนฮ่องกงแทบทั้งเกาะก็เข้ามาไหว้ และก็มีการมาไหว้ต่อเนื่อง มาได้บ่อย ๆ หลังจากนั้นเราก็สามารถสร้างสูตรรูปแบบการท่องเที่ยวต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวสายมูได้ โดยสายมูที่ดีควรจะต้องมี 4 องค์ประกอบที่สำคัญ 1.ไหว้พระ 2. เยี่ยมชม ท่องเที่ยว 3. กินของอร่อย และ 4.ได้ซื้อของดีประจำถิ่นหรือช้อปปิ้งด้วย จะเห็นได้ว่า การท่องเที่ยวสายมู เป็นจุดเริ่มต้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากการสนใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทย แล้วไปท่องเที่ยวยังส่วนอื่น ๆ ต่อได้
การส่งเสริมสายมู จะต้องมีความชัดเจนในกลยุทธ์ ยกตัวอย่างเช่น วัดหลวงพ่อโสธร ที่ฉะเชิงเทรา มีคนเข้าไปไหว้ราว 6 ล้านคนต่อปี แต่ในอดีตก็จะเดินทางไปไหว้อย่างเดียวแล้วก็ตีรถกลับกรุงเทพเลย เป็นอย่างนี้มาหลายปี จวบจนมีการสร้างพระพิฆเนศองค์นอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกและการท่องเที่ยวที่วัดสมาน มีคนหมุนเวียนเข้าไปจับจ่ายใช้สอยช่วงวันหยุดหลายหมื่นคนต่อวัน สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจปีละไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท จากการลงทุนเพียงไม่กี่ล้านบาท แต่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไปไหว้หลวงพ่อโสธร ให้เกิดการท่องเที่ยวต่อในส่วนอื่น ๆ ได้อย่างประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น โมเดลเช่นนี้ยังเกิดขึ้นได้อีกมาก โอกาสแบบนี้เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างขึ้น แต่อาศัยความเชื่อความศรัทธา โดยที่ไม่ต้องมีเชิงธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการท่องเที่ยวสายมูที่ครบวงจรมากขึ้น
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือที่ อบต.บ้านใหม่ จังหวัดอยุธยา มีการสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ และตลาดชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว พร้อมกลยุทธ์การส่งเสริมสินค้าชุมชนด้วยการสร้างคลาวด์แฟคโตรี่ เพื่อช่วยให้เกษตรกร สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าและความน่าสนใจที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบเป็นอย่างดี มีความน่าสนใจเทียบเท่าแบรนด์ดัง กลายเป็นโอทอปที่ได้มาตรฐานมากขึ้น ซึ่งใช้เวลาการพัฒนาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ด้วยเงินลงทุนเพียงแค่ราว 3-4 ล้านบาท แต่ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจ จาก อบต.ที่จนที่สุดของจังหวัดอยุทธยา กลายเป็นพื้นที่ที่รวยที่สุดของจังหวัดไปแล้ว
สายมูจริง ๆ แล้วคือ ซอฟต์พาวเวอร์ ที่แท้จริง โดยการเราต้องขายศิลปะ วัฒนธรรม ที่มีความเป็นไทย ให้กับทั้งต่างชาติ และคนไทยยอมซื้อ เชื่อว่าเรามีศักยภาพทั้งเรื่องอาหาร ศิลปะ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม แต่เรื่องเหล่านี้ต้องมีการกระตุ้นอย่างจริงจัง
อย่ามองสายมูว่าเป็นเรื่องของความงมงาย แต่มองว่าเป็นเรื่องที่อยู่คู่คนไทยมานานแล้ว คนไทยชอบบนบานสานกล่าว ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเกิดปัญหาก็จะไปบนบานสานกล่าว เมื่อสำเร็จก็จะไปบนบานสานกล่าวเช่นกัน ซึ่งก็จะวนเวียนเกิดซ้ำเช่นนี้เสมอไป วันนี้เราจะพัฒนาสายมูให้กลายเป็นการท่องเที่ยวสายมู เพื่อต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวในส่วนอื่น ๆ ต่อไป โดยใช้สายมูเป็นจุดเริ่มต้นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย เข้าไปในพื้นที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งหากภาพสายมูชัดขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็จะสามารถเติบโตได้อีกเป็น 100%