จับตา VSTECS เดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ คาดโตต่อเนื่องกว่า 2 หลัก

จับตา VSTECS เดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ คาดโตต่อเนื่องกว่า 2 หลัก

VSTECS

VSTECS ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีรายใหญ่ของไทย เดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ ลุยจับมือผู้ผลิตสินค้าเลี้ยงสัตว์อัจฉริยะและแฟชั่นในจีน เตรียมนำเข้ามาจำหน่ายปลายไตมาส 2 ของปี 2566 พร้อมประกาศลุยขยายตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า จัดตั้งทีมขายเจาะเข้าโครงการให้มากขึ้น มั่นใจสร้างยอดขายภาพรวมของ VSTECS เติบโตได้ต่อเนื่องกว่า 2 หลัก แม้สถานการณ์โลกและประเทศไทยจะผันผวน หลังปัญหาซัพพลายเชนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ TheReporterAsia ว่า ธุรกิจช่วงปีที่ผ่านมาของ วีเอสที อีซีเอส มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งส่วนของกลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์ และกลุ่มโซลูชั่นเอนเตอร์ไพร์ซ ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถส่งมอบได้เนื่องปัญหาซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นทั่วโลก วันนี้เราก็เริ่มกลับมาส่งมอบให้กลับลูกค้า ทั้งส่วนของโครงการที่คงค้าง และโครงการใหม่ที่เริ่มต้นได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กลุ่มธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น อย่างกลุ่มมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่แม้ว่าจะยังสร้างยอดขายได้เป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็มองเห็นอนาคตที่สดใส ด้วยความต้องการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะติดขัดเรื่องของความเข้าใจของร้านค้าปลีกที่มองมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจดทะเบียนเป็นเพียงแค่สกู้ดเตอร์ขับเล่นเท่านั้น ซึ่งส่วนนี้ยังต้องการสร้างความเข้าใจให้กับตลาดเนื่องจากยังเป็นเรื่องใหม่ และหากผู้นำตลาดมอเตอร์ไซค์มีการนำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่าย ก็น่าจะสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจและเชื่อมั่นในการใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ามากขึ้น

“ส่วนของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า VSTECS ยังคงทำตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง ความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับพฤติกรรมของผู้ใช้ ที่ส่วนใหญ่คนขับมอเตอร์ไซค์จะชื่นชอบความแรงของรถ ต้องออกตัวเร็ว ซึ่งขัดกับลักษณะของรถไฟฟ้าอยู่บ้าง แต่หลายองค์กร ตัวอย่าง คือ เซเว่น ก็เน้นใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในการส่งของให้แก่ลูกค้าแล้ว  ตอนนี้กำลังมีการเปิดประมูลอยู่ 300 คันที่แบรนด์ขายตรงให้หน่วยงาน เพราะนอกจากจะประหยัดแล้ว ยังไม่ต้องกลัวปัญหาภายใน เช่นการขโมยน้ำมัน”

VSTECS
คุณธเนศ พันธ์สุขุมธนา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด

ปัจจุบันเรามียอดขายได้เรื่อยๆ เดือนละประมาณ 20 คัน ไม่หวือหวา แต่ก็มองเห็นเทรนด์การเติบโต ถ้ามีการทำไมโครไฟแนนซ์ให้กับกลุ่ม delivery คิดว่าตลาดคงไปได้อีกไกล เช่น การเปิดให้ผ่อนเดือนละ 300-800 บาท เป็นต้น ซึ่งตอนนี้ก็ติดอยู่ที่เราไม่สามารถทำให้กับกลุ่มรายย่อยได้ ถ้าทำธุรกิจผ่านกลุ่มองค์กรได้จะลดความเสี่ยงให้กับเราได้มากกว่า แต่เชื่อว่าเติบโตขึ้นแน่นอนเพราะรัฐบาลก็ช่วยเรื่องภาษีอยู่แล้วถึง 18,000 บาท

แผนต่อไปคือ ต้องหาทีมงานสำหรับวิ่งงานโปรเจ็คต์โดยเฉพาะ เพื่อเข้าหาบริษัทที่มีการขนส่งเยอะๆ และต้องแสวงหาความร่วมมือกับธนาคาร เช่น ออมสินเพื่อขอกู้กับแบงค์ได้”

สถานการณ์ขาดแคลนสินค้าเริ่มฟื้นตัว

คุณธเนศ พันธ์สุขุมธนา รองประธานบริหาร ให้ความเห็นในส่วนของปัญหาซัพพลายเชนว่า “ในส่วนของไฮเอนด์ไม่มีปัญหาแล้ว มีเฉพาะส่วนของเอนเตอร์ไพรส์พวก network, server เช่น ของ Cisco เพราะความต้องการสูงมาก มีการลงทุนใน Cloud center สูง อีกปัจจัยคือชิพเซ็ทขาดช่วงอันเนื่องจากโควิด แต่คาดว่าหลัง Q2 ไปแล้วน่าจะดีขึ้นมาก”

ถึงแม้จะมีหลายภาวะเกิดขึ้น แต่ในส่วนของไอทีต้องเรียกว่าดี แม้ว่าจะเป็นช่วงสงครามยูเครน-รัสเซีย โดยนับตั้งแต่ Q3 เป็นต้นมาถึงตอนนี้ ภาพรวมตัวเลขยอดขายฝั่ง notebook consumer ก็ยังโตในระดับ single digit ในส่วนของภาพรวมปีที่แล้วโตขึ้นประมาณ 13% ฝั่งที่เติบโตสูงสุดคือ Corporate & Enterprise

เดือนมกรา-กุมภา ฝั่ง Consumer achieve 80% แต่ Enterprise achieve เกิน 100% เมื่อสรุปยอดแล้ว revenue ของเรา achieve 100% อย่างเช่น โปรเจคต์ที่ delay จากปีที่แล้ว ของค้างส่ง ก็เข้ามาและเริ่มทยอยส่ง และโปรเจคต์ใหม่ก็ยังมีเกิดขึ้น ตลาดด้านคอร์ปอเรทและราชการยังมีงบในการใช้จ่ายอยู่

VSTECS
คุณบุญชัย อัศวชัยสุวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ

“ในส่วนของ notebook ฝั่ง commercial ที่มีการประมูลนั้นก็เติบโตในระดับ double-digit โดยในส่วนของ notebook corporate ถ้าดูภาพรวม IDC แล้วจะเห็นว่าทั้งปีติดลบ เพราะที่ผ่านมาโตเยอะไปแล้วจากยอดการ WFH ของคนทำงาน แต่ของเราจะโตกว่าภาพของตลาดประมาณ 20% เนื่องจากเราได้โปรเจคต์ช่วง 5 ปีที่แล้วที่ภาครัฐมีการใช้เงินกับโปรเจคต์ค่อนข้างเยอะ ขนาดของโปรเจคต์ในปี 2020 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 10-20 ล้านบาทไปจนถึงเกือบร้อยล้านบาท ทำให้ตัวเลขของเราโตขึ้นมาเยอะ”

“ครึ่งปีแรกนี้ฝั่ง commercial ก็ยังโตอยู่ ต้องรอดูครึ่งปีหลังว่ารัฐบาลใหม่จะมีการใช้จ่ายเท่าไหร่ มากเท่าปีที่แล้วหรือไม่ ในส่วนของธนาคารก็มีโปรเจคต์เยอะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เค้าจะอัพเกรดพวกพีซีและโน้ตบุ๊ค และยิ่งเมื่อทำโมบายแบงค์กิ้งมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือเรื่อง security และการทำ virtualize”

คุณสมศักดิ์ CEO กล่าวเสริมว่า “ทุกบริษัทต้องมีการลงทุนในด้าน security ในส่วนของวีเอสทีเองก็มีการลงทุนไป 5-6 ล้านในปีที่ผ่านมา และปีนี้ก็ต้องมาคอยตรวจดูช่องโหว่กันตลอดว่ายังมีจุดใดที่ต้องป้องกันอีกหรือไม่ ซึ่งจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนอัพเกรดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ”

“ผมมั่นใจว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีเลย น่าจะโตประมาณ 10% หลังจากผ่าน Q1 มาบอกได้เลยว่าดีเกินคาด เป็นปีแรกๆ ที่เรา over achieve 100% ตาม budget ใน Q1″

“ฝั่งที่อาจจะน่าเป็นห่วงหน่อยก็คือ Consumer รายได้ที่จะมาจากฝั่ง Notebook, PC, Printer & Mobile ส่วนนี้ประมาณ 38-40% ที่เหลือจะเป็นของฝั่ง Enterprise & Commercial ประมาณ 52% แต่ผมเชื่อว่า Consumer จะดีขึ้นหลังเลือกตั้งพฤษภาคมนี้”

เทรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์

และนอกจากนี้ วีเอสที อีซีเอสยังมีส่วนของธุรกิจสนับสนุนสัตว์เลี้ยง ซึ่งหลังจากทดลองตลาดมากว่า 1 ปี วันนี้เราได้เซ็นต์ MOU กับบริษัทในประเทศจีน เพื่อนำสินค้าผลิตภัณฑ์เลี้ยงสัตว์อัจฉริยะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเพียงรายเดียว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มนำเข้ามาจำหน่ายได้ราวเดือนพฤษภาคม 2566 นี้ และยังจะมีการสินค้ากลุ่มแฟชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยงเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกคู่ค้าเพื่อนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้

โดยคุณธนเสฏฐ์ โมระศิลปิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดผลิตภัณฑ์ดีไวซ์และไลฟ์สไตล์ ให้ความเห็นว่า “เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้รับเชิญไปดูงาน Pet Fair ที่เซิ่นเจิ้น ได้เจอผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย และเป็นโอกาสที่ดีมากที่เราได้พบเบอร์ 1 ผู้พัฒนา AI ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่อันดับ 1 ของจีน

วีเอสที อีซีเอส
ุณธนเสฏฐ์ โมระศิลปิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดผลิตภัณฑ์ดีไวซ์และไลฟ์สไตล์

สาเหตุที่คนจีนให้ความสนใจตลาด Smart Pet เพราะพฤติกรรมคนเปลี่ยนไป ปัจจุบันคนจีนให้ความสนใจเรื่อง อาหาร อากาศ น้ำดื่ม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและด้าน Emotional จะเห็นว่าคนจีนมีสัตว์เลี้ยงเยอะ แต่ไม่มีสินค้าแนว Emotional Support ที่เข้ามาซัพพอร์ตตรงจุดนี้ ซึ่งตอนนี้เรามีแผนในใจแล้วว่าจะมุ่งไปที่บริษัทผู้นำด้าน AI และสินค้าแนวไอทีเทคแฟชั่น เพราะสินค้า PET นอกจากเน้นด้าน Function แล้ว ยังต้องมีความเป็นแฟชั่นอีกด้วย

ตอนนี้เราเห็นเทรนด์ที่ต่างประเทศแล้วและจะนำมา apply ที่เมืองไทย ตอนนี้เราก็เริ่มทำตลาดแล้ว โดยมีทั้งหมด 5 แบรนด์ คือ Petoneer, Petwant , Pawbo, Meet, Petkit

และจะมีการนำเข้า และเปิดตัวสินค้าใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้ ปัจจุบันสินค้าที่มี potential มากที่สุด ก็คือ บ้านแมว และห้องน้ำแมว ซึ่งคอนเซปต์สมัยใหม่ก็คือ แมวมีความสุข เรามีความสุข มือเราไม่ต้องสัมผัสสิ่งปฏิกูล และอีกสินค้าที่จะนำเข้ามาในอนาคต คือ house grooming ที่สามารถ อาบน้ำ ตัดขน อบขนแมวได้เลย ซึ่งตลาดส่วนนี้นั้นอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง แต่เราก็มองเห็นโอกาสที่ดีว่าจะเป็นเทรนด์ที่จะมาแรงเลย”

คุณสมศักดิ์ CEO กล่าวเสริมว่า “ในอนาคตเรามีแผนที่จะขยายตลาดเข้าไปยังเซกเมนต์ใหม่ที่อยู่นอกเหนือจากกลุ่มไอที คือ ร้านขายอาหารสัตว์เลี้ยงใหญ่ๆ โดยอาจจะแยกกลุ่มรีเซลเลอร์ไปเลย

ส่วนสินค้า gadget ถ้าร้านไอทีอยากจะเข้ามาทำ ก็ต้องมองไปที่กลุ่ม large format อย่าง JIB, Advice, Com7, IT City หรือร้านค้าที่มีความเข้าใจแนวสัตว์เลี้ยง

ซึ่งในอนาคตต่อไปข้างหน้าอีก เราคาดว่าเซกเมนต์นี้จะสามารถไปผสานรวมกับฝั่ง Enterprise ได้ เช่นการจัดทำเป็นโซลูชัน One Click คือ การรวมทุกโซลูชันไปอยู่ที่แพลตฟอร์มเดียว นำแพลตฟอร์มทั้งหมดที่เราขายทำเป็นแอปของเราเองที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ทุกตัวที่ซื้อจากเราได้ ให้เป็น Smart Home โดยผ่านการเชื่อมต่อ Wi-Fi เพื่อให้ตลาด Smart Home เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงระบบ Security กล้องวงจรปิด ไฟส่องสว่าง และอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง อนาคตจึงต้องมองหาเอาท์ซอร์สที่เป็นสตาร์ทอัพในบ้านเราเขียนโปรแกรมนี้ขึ้นมา”

สรุปภาพรวมตลาดมือถือ

คุณธนเสฏฐ์ โมระศิลปิน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดผลิตภัณฑ์ดีไวซ์และไลฟ์สไตล์ ให้ความเห็นว่า “เนื่องจากเราเป็นตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนครบทุกเซกเมนต์ ทั้ง hi, mid และ low กลยุทธ์การดำเนินงาน คือ เราทำงานใกล้ชิดกับเวนเดอร์ แบรนด์ที่เราถือก็มีทั้ง fighting brand, รวมถึงแบรนด์ที่กำลังจะไปๆมาๆ และแบรนด์ที่อยู่ตัวแล้ว เราปฏิบัติตามนโยบายของเวนเดอร์ และเรา speed market ของเราค่อนข้างที่จะเร็ว และนี่คือข้อได้เปรียบของเรา

มือถือในปีที่ผ่านมาตัวเลขของเราทรงตัว โตในระดับ digit อย่างที่ทราบกันคือ market size บ้านเราจะอยู่ที่เดือนละ 1,200,000 เครื่อง โดยเราอยู่ในแชร์ของตลาดที่ประมาณ 12%

และเราเห็นเทรนด์ที่กำลังจะมาก็คือ เนื่องจากผู้นำตลาด ไม่สนใจตลาดที่เป็น ultra low-cost คือตัวที่ราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ เค้ามุ่งจะไปที่ตลาดระดับกลางและบน จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่แบรนด์ใหม่ที่เข้ามาซึ่งเป็นแบรนด์ของจีนทั้ง 4 แบรนด์สนใจที่จะทำตลาดนี้และเราได้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายทั้ง 4 แบรนด์นั้น จึงเกิดปรากฎการณ์ที่เราสามารถทำสถิติขายได้สูงสุดภายใน 2 สัปดาห์ (Break High Record Unit Sold) เมื่อเดือนที่แล้วนี้เองที่เราสามารถจัดจำหน่ายได้ในจำนวนมาก

คุณสมศักดิ์ CEO กล่าวเสริมว่า “ถ้าเทียบกับดิสตี้รายอื่น เราถือว่าแชร์ในส่วนของมือถือนั้นเรายังเป็นรายเล็ก ไม่ใช่รายใหญ่ เราเน้นนโยบายการตีตลาดนอกเมืองเข้ามาในเมือง จากภาคใต้เข้ามา ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่เราแข็งแกร่งมาก สัดส่วนรายได้ของมือถือคิดเป็นประมาณ 8% จากยอดรวมธุรกิจทั้งหมดที่ 34,000 ล้านบาท และถ้ารวมทางด้านไอทีอย่างเดียว ไม่รวมมือถือ คอมโพเนนท์ DIY วีเอสทีคือเบอร์หนึ่งในตลาด้านไอที”

Related Posts