SCC ร่วมงาน Think Business, Think Hong Kong ช่วยไทยพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ

SCC ร่วมงาน Think Business, Think Hong Kong ช่วยไทยพัฒนาสู่เมืองอัจฉริยะ

SCC

Smart City Consortium (SCC) ร่วมงาน Think Business, Think Hong Kong ที่จัดโดยองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council: HKTDC) พร้อมหนุนสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จัดทำบันทึกข้อตกลงสร้างความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้ เสนอเทคโนโลยีอัจฉริยะใหม่ ๆ ดันไทยก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ลดการปล่อยคาร์บอน เร่งแก้ปัญหาการจราจรติดขัดรุนแรงด้วยระบบการเดินทาง การขนส่งอัจฉริยะ

SCC คือหนึ่งในผู้นำธุรกิจฮ่องกงด้านรวบรวมระบบเทคโนโลยี “ภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะ” ต่อการแก้ไขปัญหาสังคมเฉพาะเจาะจง ด้านงานจัดแสดงสินค้าในครั้งนี้ พร้อมนำเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ การสร้างแบบจำลองข้อมูลเมือง 3 มิติ คล้ายกับการเล่นเกม 3 มิติ เพื่อยกระดับพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ให้ล้ำหน้าน่าอยู่มากขึ้น

ปัจจุบันฮ่องกงกำลังเป็นประเทศที่ถูกพัฒนาให้เป็นเมืองอัจฉริยะ โดยมุ่งเน้นที่การจัดสรรทรัพยากรและสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง เนื่องจากฮ่องกงมีความแข็งแกร่งทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ข้อมูลเชิงพื้นที่ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ บริษัทต่าง ๆ ในฮ่องกงจึงได้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ มากมาย เช่น การทดสอบอาหารและยาด้วยตัวอ่อนของปลาเรืองแสง และ การตรวจสอบภายนอกอาคารด้วยโดรนอัจฉริยะ

คุณ Gary Yeung ประธานบริหาร, Smart City Consortium (SCC) ก็เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจของฮ่องกงที่รวบรวมระบบเทคโนโลยี “ภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะ ” ต่อการแก้ไขปัญหาสังคมเฉพาะเจาะจง ได้เปิดเผยถึง วัตถุประสงค์ของการเข้ามาร่วมงานแสดงสินค้า Think Business, Think Hong Kong ระหว่างวันที่ 13-14 กรกฎาคม ณ เซ็นทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิล์ด ซึ่งเป็นงานที่จัดโดย องค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade Development Council: HKTDC) เพื่อจะมาสำรวจศักยภาพตลาดประเทศไทย และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะระดับโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้ประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนผ่านการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะด้านการขนส่ง

ดังนั้นการเข้าร่วมงาน ” Think Business Think Hong Kong ” ในประเทศไทยครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการต่อยอดพัฒนาเมืองอัจฉริยะในขั้นตอนที่ 3 คือ การลงมือปฎิบัติงาน โดยขั้นตอนนี้จำเป็นต้องได้รับร่วมมือจากรัฐบาล ทั้งเรื่องการจัดระบบโครงสร้างดิจิทัล และ การจัดตั้งนโยบาย ซึ่งงาน Think Business, Think Hong Kong ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสสำคัญให้ทาง SCC ได้เข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทย รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกันและกัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีร่วมกันต่อไปในอนาคต เพราะเป้าหมายของ SCC คือ การช่วยเหลือนักธุรกิจเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ๆ และขยายฐานเข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้ SCC จะเข้าไปสำรวจศักยภาพตลาดของไทย และการเสาะหาโอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ เช่น นวัตกรรมการประยุกต์ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันทาง Smart City Consortium (SCC) กับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงที่จะสร้างความร่วมมือด้วยกันเพื่อจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ และความชำนาญที่เป็นประโยชน์ในการนำเสนอเทคโนโลยีอัจฉริยะใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย เพราะประเทศไทยถ้าจะก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ จำเป็นต้องมีความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่นโยบาย กฎหมาย ข้อบังคับ เช่น เปลี่ยนธนาคารให้กลายเป็นไม่มีสาขาก็ต้องมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีเรื่องนี้ ประกอบกับในอนาคตเมื่อประเทศไทยต้องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ จำเป็นต้องเน้นไปที่เทคโนโลยีช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งก็ต้องมีรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ หรือถ้าต้องการแก้ปัญหาการจราจรติดขัดรุนแรง ก็ต้องใช้ระบบการเดินทาง การขนส่งอัจฉริยะ

เนื่องจากเมืองส่วนใหญ่มักประสบปัญหาทั่ว ๆ ไป เช่น จราจรติดขัด มลพิษทางอากาศ น้ำเสีย ดังนั้น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะจึงเป็นแนวทางยั่งยืน มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการช่วยเรื่องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทั้งนี้ ถ้าถามว่าการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของฮ่องกงแตกต่างจากประเทศอื่นอย่างไร คุณ Gary Yeung กล่าวว่า รัฐบาลฮ่องกงทุ่มทุนไปกับการสร้างเมืองอัจฉริยะตั้งแต่ ปี 2560 จนเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลได้เปิดแผนกลยุทธ์ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในเมือง รวมถึงมี “โครงการ One-plus Scheme ภาคการวิจัย วิชาการ และอุตสาหกรรม” (RAISe+ Scheme) เพื่อสนับสนุนเชิงพาณิชย์ให้กับงานวิจัยในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สำหรับใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเชิงนโยบาย

นอกจากนั้น ฮ่องกงยังได้รับโอกาสเชิงพาณิชย์จาก Greater Bay Area หรือ โครงการเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า ซึ่งทำให้ความต้องการด้านงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของฮ่องกงเพิ่มมากขึ้น เช่น การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงฮ่องกงยังมีสถาบันการเงินที่มั่นคงและระบบครอบคลุม จึงมีส่วนช่วยในการผลักดันเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) เพื่อพัฒนาธนาคารแบบไม่มีสาขา (Virtuak banking) รวมไปถึงการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล อีกทั้งกำลังพัฒนาโดรนอัจฉริยะเพื่อตรวจสอบการรอยรั่วซึมภายนอกอาคาร และเทคโนโลยีสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพ ยืดอายุการใช้งานของอาคารได้ด้วย

สำหรับความคาดหวังที่ผู้ร่วมงานจะได้รับจากการงาน “Think Business Think Hong Kong” จากบริษัทต่าง ๆ ของฮ่องกง คุณ Gary Yeung กล่าวว่า บริษัทในฮ่องกงมีความเชี่ยวชาญด้านไบโอเทค เช่น เทคโนโลยีการใช้ตัวอ่อนของปลาเรืองแสงทดสอบอาหารและยานอกจากนี้ฮ่องกงมีความเชี่ยวชาญเรื่องข้อมูลเชิงพื้นที่ ดังนั้นรัฐบาลฮ่องกงกำลังพัฒนาพอร์ทัล Common Spatial Data Infrastructure (CFDI) ควบคู่ไปกับการจัดตั้ง Geospatial Lab ซึ่งดำเนินการโดย Tung Wah Group of Hospitals และได้รับการสนับสนุนจาก Smart City Consortium (SCC) โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในบริบทที่หลากหลาย ตั้งแต่การสร้างแบบจำลองข้อมูลเมือง 3 มิติ คล้ายกับการเล่นเกม 3 มิติ ซึ่งจะนำมาจัดแสดงให้เห็นภายในงานครั้งนี้ด้วย

ขณะเดียวกันจะมีการจัดแสดงเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยเฉพาะการแฮ็กโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศอย่างระบบทางรถไฟและวงจรไฟฟ้า ซึ่งเป็นการร่วมส่งเสริมและผลักดันงานด้านนี้ให้ก้าวไปสู่มาตรฐานสากล มากขึ้น

Related Posts