SCGD ลุยขยายธุรกิจในอาเซียน ตั้งเป้ารายได้โตสองเท่าภายในปี 2030

SCGD ลุยขยายธุรกิจในอาเซียน ตั้งเป้ารายได้โตสองเท่าภายในปี 2030

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – SCGD ประกาศแผนธุรกิจระยะยาว มุ่งสู่การเป็นผู้นำตลาดวัสดุก่อสร้างในอาเซียน ตั้งเป้ารายได้โตสองเท่าภายในปี 2030 ด้วยงบลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท ชูจุดแข็งด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ต้นทุนต่ำ และช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ครอบคลุม 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGDกล่าวว่า “เศรษฐกิจอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นในระยะยาว คาดการณ์ว่าธุรกิจวัสดุปิดผิว สุขภัณฑ์ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง จะเติบโตมากกว่า 4% จากการเติบโตของ GDP จำนวนประชากร และการขยายตัวของเมืองในแต่ละประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ในฐานะผู้นำธุรกิจวัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ในอาเซียน SCGDจึงเร่งเดินหน้ากลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของฐานการผลิตใน 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา นำเสนอสินค้า High Value Added ที่มีทั้งดีไซน์และฟังก์ชันการใช้งาน อาทิ พื้น SPC LT by COTTO ลายไม้เสมือนจริง เวียดนาม ซึ่งเป็นฐานการผลิตเชิงกลยุทธ์แห่งใหม่ในอาเซียน มีต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้กับสินค้าจีน และรองรับการส่งออกในอนาคต ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมาก พร้อมรองรับการกระจายสินค้าผ่านช่องทางการขายที่กำลังขยายตัว

โดยแต่ละประเทศมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของลูกค้าอย่างกว้างขวาง ได้แก่ COTTO, SOSUCO, CAMPANA ในประเทศไทย PRIME, PREMIER ในประเทศเวียดนาม MARIWASA ในประเทศฟิลิปปินส์ และ KIA ในประเทศอินโดนีเซีย”

SCGDมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนธุรกิจเชิงรุกที่สอดคล้องกับเทรนด์โลก โดยผลักดันยอดขายด้วยการเป็นผู้นำเทรนด์ และนำเสนอสินค้า High Value Added ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ “Smart Flexible by COTTO” หรือ “LT by COTTO” นวัตกรรมวัสดุปูพื้น SPC ที่ติดตั้งง่าย ใช้งานสะดวก ปลวกไม่กิน กันน้ำ 100% พร้อมลวดลายและผิวสัมผัสเสมือนธรรมชาติ ควบคู่กับการพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โดยยกเลิกกระบวนการเผาไหม้ มั่นใจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีการปล่อย CO2 สู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน SCGDได้เปิดไลน์การผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนเคลือบขนาดใหญ่ ทั้งในเวียดนามและไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำลังการผลิตรวม 14 ล้านตารางเมตร ภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเดินหน้าลดต้นทุนการผลิตด้วยการใช้พลังงานชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง

แผนระยะยาว SCGD

สำหรับแผนระยะยาว (ปี 2025 – 2030) SCGDมุ่งเน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยตั้งงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อการควบรวมกิจการและร่วมทุน โดยเฉพาะโรงงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในเวียดนาม พร้อมขยายธุรกิจสินค้า Complementary ควบคู่กับการตั้งงบลงทุน (Capital Expenditure : CAPEX) กว่า 13,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด อาทิ การตั้งโรงงานกระเบื้องแห่งใหม่ในภาคใต้ของเวียดนาม การเพิ่มประสิทธิภาพโรงงานกระเบื้อง และการเพิ่มสัดส่วนการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนเคลือบขนาดใหญ่ จาก 20% ของกำลังการผลิตรวมในปี 2024 เป็น 50% ภายในปี 2030

รวมถึงการติดตั้ง Hot Air Generator ที่ใช้เชื้อเพลิงจากชีวมวล ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิต ควบคู่กับการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งช่องทางของ SCGDเอง และร้านค้าพันธมิตร ปัจจุบัน SCGD มีร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 800 ร้านค้า และมี Showroom หลากหลายรูปแบบ อาทิ COTTO LiFE, คลังเซรามิก ในประเทศไทย และในประเทศอื่นๆ ในอาเซียน รวมถึง Modern Trade และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เช่น HomePro, ไทวัสดุ, ดูโฮม, SCG HOME บุญถาวร, Global House ในประเทศไทย Wilcon Depot, All Home ในประเทศฟิลิปปินส์ และ Mitra10, Depo Bangunan ในประเทศอินโดนีเซีย

โดย SCGDมั่นใจว่าจะรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจสุขภัณฑ์และวัสดุปิดผิว ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่ง พร้อมก้าวสู่การเป็นหนึ่งในสามผู้นำด้านสุขภัณฑ์และสินค้า Complementary ในอาเซียน

“บริษัทมุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจวัสดุปิดผิว โดยผสานความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา นักออกแบบมืออาชีพ และนักการตลาดชั้นนำ เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม สอดคล้องกับเทรนด์โลก และรุกขยายตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมเตรียมกลยุทธ์รับมือสินค้าจากการนำเข้า โดยใช้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าของฐานการผลิตในเวียดนาม ควบคู่กับการจัดหาสินค้าคุณภาพสูงจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย” นายนำพล กล่าวเสริม

ประเด็นสำคัญ

  • SCGD ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตสองเท่าภายในปี 2030 มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจวัสดุก่อสร้างในอาเซียน
  • SCGD มีแผนลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในอาเซียน โดยเน้นการควบรวมกิจการและร่วมทุนในเวียดนาม รวมถึงการขยายกำลังการผลิตสินค้า High Value Added และสินค้า Complementary
  • SCGD เดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้พลังงานชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดต้นทุนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • SCGD มั่นใจว่าจะรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจสุขภัณฑ์และวัสดุปิดผิว ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ พร้อมก้าวสู่การเป็นหนึ่งในสามผู้นำด้านสุขภัณฑ์และสินค้า Complementary ในอาเซียน

#SCGD #เอสซีจีเดคคอร์ #วัสดุก่อสร้าง #อาเซียน #ธุรกิจ #การลงทุน #เศรษฐกิจ #ความยั่งยืน #สิ่งแวดล้อม

Related Posts