สิงคโปร์ – ผลสำรวจชี้ชัด ชาว สิงคโปร์ เผชิญภาวะหมดไฟในการทำงานสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้เชี่ยวชาญเผยสาเหตุหลักมาจากชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน กำหนดส่งงานที่กระชั้นชิด และความไม่สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว แนะธุรกิจและภาครัฐร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
- – JCB จับมือ Nuvei ลุยขยายเครือข่ายรับชำระเงินในเอเชียแปซิฟิก
- – เจาะลึกดัชนีการผลิต เวียดนาม สัญญาณบวกที่ซ่อนความท้าทาย
จากผลสำรวจระดับภูมิภาคพบว่า สิงคโปร์มีอัตราการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยพนักงานชาวสิงคโปร์กำลังเผชิญกับความเครียดและความกดดันในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
รายงานข่าวจาก Channel News Asia ระบุว่า สาเหตุหลักของปัญหานี้มาจากวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นผลลัพธ์ ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน กำหนดส่งงานที่กระชั้นชิด และความไม่สมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น ค่าครองชีพที่สูง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดแรงงาน ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดความเครียดสะสมมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ให้ความเห็นว่า ภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กร โดยพนักงานที่อยู่ในภาวะหมดไฟมักมีอาการ ดังนี้
- อ่อนเพลีย หมดแรง รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ
- ขาดแรงจูงใจ ไม่อยากทำงาน รู้สึกเบื่อหน่าย และไม่มีความกระตือรือร้น
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานผิดพลาดบ่อย ไม่มีสมาธิ และตัดสินใจได้แย่ลง
- มีทัศนคติเชิงลบ มองโลกในแง่ร้าย รู้สึกสิ้นหวัง และหงุดหงิดง่าย
- มีปัญหาสุขภาพ เช่น นอนไม่หลับ ปวดหัว และมีปัญหาทางเดินอาหาร
นอกจากปัจจัยหลักๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อภาวะหมดไฟ ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามไป ได้แก่
- สภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิง การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รก ไม่เป็นระเบียบ ส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้รู้สึกเครียด วุ่นวาย และไม่มีสมาธิ
- การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป การเสพติดโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ความรู้สึกด้อยค่า และวิตกกังวล ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียด
- การตัดสินใจในชีวิตประจำวัน แม้แต่การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ เช่น จะกินอะไร ใส่เสื้อผ้าอะไร หรือจะเดินทางด้วยเส้นทางไหน ล้วนส่งผลต่อระดับความเครียดสะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองที่ต้องเผชิญกับทางเลือกมากมาย
- ความกดดันจากสังคม ความคาดหวังจากครอบครัว เพื่อน และสังคม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด โดยเฉพาะในสังคมที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จ และสถานะทางสังคม
แนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะหมดไฟ
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การแก้ไขปัญหาภาวะหมดไฟ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งในระดับองค์กร ภาครัฐ และตัวพนักงานเอง โดยมีแนวทาง ดังนี้
- องค์กร ควรส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงาน เช่น สนับสนุนให้พนักงานลาพักร้อน จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น
- ภาครัฐ ควรมีนโยบายและมาตรการ เพื่อช่วยลดความเครียดในการทำงาน เช่น การกำหนดชั่วโมงการทำงานสูงสุด การส่งเสริมการทำงานแบบ Work-Life Balance และการให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความเครียด
- พนักงาน ควรดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเอง เช่น การออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการฝึกสติ รวมถึงการ จัดสรรเวลา เพื่อทำกิจกรรมที่ชอบ และผ่อนคลายความเครียด
ภาวะหมดไฟในการทำงานเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต และส่งเสริมให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างยั่งยืน
#หมดไฟ #Burnout #สุขภาพจิต #WorkplaceWellness #WorkLifeBalance #สิงคโปร์ #เศรษฐกิจ #สังคม #ChannelNewsAsia