กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – หอการค้าไทย-ญี่ปุ่น ผนึกกำลังคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดงานประชุม ASEAN-Japan Business Meeting (AJBM) ครั้งที่ 50 อย่างยิ่งใหญ่ ณ โรงแรมโอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อ “Building Resilient Partnerships for Sustainable Futures” โดยมีผู้นำภาคเอกชน นักธุรกิจ และผู้แทนภาครัฐจากประเทศในกลุ่มอาเซียนและญี่ปุ่นกว่า 500 คน เข้าร่วมหารือประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจ และร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความร่วมมือระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น
- – สภาหอการค้าไทย จับมือญี่ปุ่น จัดงาน “AJBM” ครั้งที่ 50
- – เจาะลึก แผนปฏิบัติการดิจิทัล อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง GMS (2025-2027)
การประชุม AJBM ครั้งที่ 50 นี้ ถือเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในทศวรรษหน้า โดยมุ่งเน้นไปที่การระบุปัญหาเร่งด่วนในภูมิภาค และเสนอแนวทางเชิงนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย-ญี่ปุ่น กล่าวถึงความสำคัญของการประชุม AJBM ครั้งที่ 50 ว่า “เป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น โดยผลลัพธ์ของการประชุมครั้งนี้จะเป็นแนวทางให้กับอาเซียนและญี่ปุ่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
สมุดปกขาว (White Paper): ผ่าทางตันเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น
หนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการประชุม คือการเปิดตัวสมุดปกขาว (White Paper) ที่จัดทำขึ้นโดย YCP โดยรวบรวมประเด็นสำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร การเดินทาง และการท่องเที่ยว เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและความร่วมมือในภูมิภาค โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ความมั่นคงทางอาหาร
- สมุดปกขาวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ และเพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
- เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น การส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ที่ทนทานต่อสภาพอากาศ และการกระจายแหล่งที่มาของโปรตีน โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และส่งเสริมการบริโภคโปรตีนทางเลือก เช่น โปรตีนจากพืช แมลง และสาหร่าย
- ยกตัวอย่างประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก แต่ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรมและการประมง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดหาอาหารสัตว์ การเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร และการผลิตอาหาร
2. การเดินทาง
- เน้นย้ำถึงปัญหาคุณภาพอากาศที่แย่ลงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของเมือง การปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ และปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหลวง เช่น กรุงเทพมหานคร จาการ์ตา และมะนิลา
- นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การขยายตัวของระบบขนส่งสาธารณะ การใช้เทคโนโลยีการจัดการจราจรแบบอัจฉริยะ และการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว รวมถึงการส่งเสริมการใช้จักรยาน การเดินเท้า และการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)
- ยกตัวอย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการควบคุมการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร (BATCP) การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า และการส่งเสริมพฤติกรรมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
3. การท่องเที่ยว
- กล่าวถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวมีศักยภาพสูง แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความท้าทาย เช่น ปัญหาการท่องเที่ยวเกินขีดจำกัด (Overtourism) ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น และความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
- เสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา เช่น การกระจายการท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างรายได้และกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจสู่ท้องถิ่น
- ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่น เช่น การจัดการการท่องเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ และเทศกาลโฮโนลูลู รวมถึง บริษัทท่องเที่ยวชั้นนำของไทย เช่น ดุสิตธานี ที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือ กุญแจสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืน
การประชุม AJBM ครั้งที่ 50 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือที่เกิดขึ้นครอบคลุมในหลายมิติ ดังนี้
1. ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
- การประชุม AJBM ครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆ เข้าร่วมสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการประชุม ขณะเดียวกัน ภาคเอกชน เช่น หอการค้าไทย-ญี่ปุ่น กกร. และบริษัทต่างๆ ก็มีบทบาทสำคัญในการจัดงาน ระดมความคิดเห็น และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา
- ความร่วมมือดังกล่าว เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน การค้า และการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยภาครัฐมีบทบาทในการกำหนดนโยบาย กฎระเบียบ และมาตรการสนับสนุน ขณะที่ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน สร้างงาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
2. ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค
- การประชุม AJBM เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้นำภาคเอกชน นักธุรกิจ และผู้แทนภาครัฐจากประเทศในกลุ่มอาเซียนและญี่ปุ่น ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหา และพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคร่วมกัน
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ล้วนต้องการความร่วมมือจากทุกประเทศในภูมิภาค เพื่อหาทางออกร่วมกัน
3. ความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ
- การประชุม AJBM เป็นเวทีที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่าย และความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัทต่างๆ ในอาเซียนและญี่ปุ่น โดยเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้พบปะ เจรจาธุรกิจ และแสวงหาโอกาสในการลงทุนร่วมกัน
- ความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างนวัตกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค
4. ความร่วมมือด้านวิชาการ
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการจัดงานประชุม และนำเสนอผลงานวิจัย ข้อมูล และองค์ความรู้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบาย และการตัดสินใจของภาครัฐและภาคเอกชน
- ความร่วมมือด้านวิชาการ เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ
5. ความร่วมมือกับภาคประชาสังคม
- การประชุมAJBM ยังเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคม เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และกลุ่มชุมชน ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน
- ความร่วมมือกับภาคประชาสังคม เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ กับการรักษาสิ่งแวดล้อม และการสร้างสังคมที่เป็นธรรม
โดยสรุป การประชุม AJBM ครั้งที่ 50 เป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับอาเซียนและญี่ปุ่น โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะช่วยให้ภูมิภาคสามารถรับมือกับความท้าทาย และคว้าโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรือง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืน
#AJBM #AJBM50 #หอการค้าไทย #ความมั่นคงทางอาหาร #การเดินทาง #การท่องเที่ยว #เศรษฐกิจ #อาเซียน #ญี่ปุ่น