BOI เผยไทยมีศักยภาพเต็มเปี่ยมในการเป็นศูนย์กลาง สตาร์ทอัพ ระดับโลก ด้วยจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้ง แรงงานมีฝีมือ และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ พร้อมเปิดตัวกองทุน Matching Fund และวีซ่าพิเศษดึงดูดนักลงทุนและผู้มีความสามารถจากทั่วโลก
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลาง สตาร์ทอัพ (Startup Hub) ระดับโลก ด้วยศักยภาพและความพร้อมในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่มุ่งมั่นผลักดันและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้กล่าวปาฐกถาในงาน “Thailand Fast Track” ซึ่งจัดโดย True Digital Park โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฐานที่มั่นสำหรับ สตาร์ทอัพ ที่มีเป้าหมายสู่ระดับโลก พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณ True Digital Park ที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทย
นายนฤตม์ ได้กล่าวถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่ทำให้ประเทศไทยโดดเด่นในฐานะศูนย์กลาง สตาร์ทอัพ ได้แก่:
- ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์: ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคอาเซียน จีน อินโดแปซิฟิก และภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก
- แรงงานมีฝีมือ: ประเทศไทยมีแรงงานที่มีทักษะสูง ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาระดับโลก และมีระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง
- นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายและมาตรการจูงใจที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพและการขยายตัวสู่ระดับโลกโดยเฉพาะ
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนหลักของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ” นายนฤตม์กล่าว “ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสตาร์ทอัพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
เลขาธิการ BOI ยังได้กล่าวถึงมาตรการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมสำหรับสตาร์ทอัพต่างชาติ ซึ่งรวมถึง:
- การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล: เพื่อลดภาระทางภาษีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
- การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์: เพื่อลดต้นทุนการลงทุนและส่งเสริมการนำเข้าเทคโนโลยี
- การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบเพื่อการวิจัยและพัฒนา: เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI ยังตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัพ คุณนฤตม์ได้เปิดเผยถึงมาตรการสำคัญ 2 ประการ ได้แก่
- กองทุน Startup Matching Fund: กองทุนนี้จะให้การสนับสนุนทางการเงินสูงสุดถึง 15 ล้านบาทต่อสตาร์ทอัพ เพื่อจับคู่กับเงินทุนจาก Venture Capital (VC) เร่งการเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
- โครงการดึงดูดผู้มีความสามารถพิเศษระดับโลก (Global Talent Attraction Program): ผ่านวีซ่าพิเศษ 2 ประเภท ได้แก่
- Long-Term Resident Visa (LTR Visa): วีซ่าระยะยาว 10 ปี พร้อมใบอนุญาตทำงานอัตโนมัติ และอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 17% สำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง
- Smart Visa: สำหรับสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย
ในส่วนของการพัฒนาบุคลากรในประเทศ BOI ได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการปรับหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิศวกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และเทคโนโลยี AI
“ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน เช่น True Digital Park ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายนฤตม์กล่าวเสริม
True Digital Park ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมชั้นนำ ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สตาร์ทอัพสามารถเติบโตและขยายตัวได้
เลขาธิการ BOI ได้เชิญชวนผู้เข้าร่วมงาน “Thailand Fast Track” ทุกท่านให้สำรวจโอกาสอันไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย และอวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จ
การผลักดันของ BOI สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยมาตรการสนับสนุนที่ครอบคลุมทั้งด้านภาษี เงินทุน และการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากทั่วโลก ประเทศไทยจึงพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางสตาร์ทอัพระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิ
#BOI #สตาร์ทอัพ #StartupThailand #MatchingFund #LTRVisa #SmartVisa #TrueDigitalPark #ThailandFastTrack #EEC #EECStartup