สะเทือนขวัญจากเหตุการณ์อาคารระหว่างก่อสร้างถล่มราบคาบหลังแผ่นดินไหว วงการวิศวกรรมโครงสร้างเร่งหาสาเหตุ ศ.ดร. อมร พิมานมาศ นายกสมาคมฯ ชี้ 3 จุดสังเกตสำคัญที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นการพังทลาย พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงปรากฏการณ์ Resonance ที่อาจเป็นปัจจัยร่วม ขณะที่ประเด็นคุณภาพวัสดุ การออกแบบ และการก่อสร้างตามกฎหมาย ยังคงเป็นคำถามที่ต้องพิสูจน์ หาคำตอบเพื่อความปลอดภัยในอนาคต
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ซึ่งส่งผลให้อาคารสูงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างหลังหนึ่งเกิดการพังถล่มลงมาทั้งหลังอย่างราบคาบ สร้างความตื่นตระหนกและคำถามถึงความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อน ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้างได้ออกมาให้ข้อสังเกตเบื้องต้นถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ของ อาคารถล่ม ครั้งนี้
ศาสตราจารย์ ดร. อมร พิมานมาศ ในฐานะนายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย และนักวิจัยภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจหลังจากพิจารณาภาพวีดีโอเหตุการณ์ โดยระบุว่า มีจุดที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายที่สำคัญอยู่ 3 จุดด้วยกัน จุดแรกคือ การหักของเสาชั้นล่างซึ่งมีลักษณะค่อนข้างชะลูด (Slender Column) โดยการหักเกิดขึ้นบริเวณกึ่งกลางความสูงของเสา จุดที่สองคือ การเฉือนขาดในแนวดิ่งของรอยต่อระหว่างพื้นไร้คาน (Flat Slab) กับเสาของชั้นบน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อที่รับแรงและถ่ายเทน้ำหนัก และจุดที่สามคือ การพังทลายที่อาจมีจุดเริ่มต้นจากบริเวณปล่องลิฟต์ของอาคาร
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. อมร ย้ำว่า ในขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปได้อย่างชัดเจนว่าจุดใดเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการถล่ม แต่ไม่ว่าการพังทลายจะเริ่มต้นจากจุดใดในสามจุดนี้ก็ตาม กลไกการพังทลายที่เกิดขึ้นสามารถส่งผลให้ อาคารถล่ม ต่อเนื่องลงมาเป็นทอดๆ ในลักษณะที่เรียกว่า “Pancake Collapse” หรือการถล่มแบบแพนเค้ก ซึ่งหมายถึงการที่แผ่นพื้นแต่ละชั้นพังลงมาทับซ้อนกัน ทำให้โครงสร้างทั้งอาคารยุบตัวลงมาอย่างรวดเร็วและราบเรียบดังที่ปรากฏในภาพเหตุการณ์
นอกเหนือจากจุดบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นกับตัวโครงสร้างโดยตรงแล้ว ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ ศ.ดร. อมร ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการถล่มครั้งนี้ คือปรากฏการณ์ “การสั่นพ้อง” หรือ Resonance ระหว่างชั้นดินอ่อนกับโครงสร้างอาคารสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงแหล่งกำเนิดของแผ่นดินไหวที่อยู่ระยะไกล เช่น จากประเทศเมียนมา คลื่นแผ่นดินไหวที่เดินทางมาถึงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นดินอ่อน จะมีลักษณะเป็นคลื่นที่มีคาบการสั่นยาว (Long Period)
ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว คลื่นประเภทนี้จะส่งผลกระทบและกระตุ้นอาคารสูงได้มากกว่าอาคารเตี้ย เนื่องจากอาคารสูงเองก็มีคาบการสั่นตามธรรมชาติที่ยาวเช่นกัน เมื่อคาบการสั่นของคลื่นแผ่นดินไหวที่ผ่านชั้นดินอ่อนมาตรงกับคาบการสั่นตามธรรมชาติของอาคารสูง จึงเกิดการสั่นพ้องขึ้น ทำให้อาคารเกิดการแกว่งตัวที่รุนแรงกว่าปกติ และอาจนำไปสู่ความเสียหายหรือการพังทลายได้ในที่สุด ปรากฏการณ์นี้จึงเป็นประเด็นที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียดในการวิเคราะห์สาเหตุครั้งนี้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของอาคารในขณะเกิดแผ่นดินไหว ซึ่ง ศ.ดร. อมร มองว่ายังต้องมีการตรวจสอบและพิสูจน์เพิ่มเติม หนึ่งในนั้นคือผลกระทบจากตัวปั้นจั่น (Tower Crane) ที่ติดตั้งอยู่ในปล่องลิฟต์ระหว่างการก่อสร้าง มีความเป็นไปได้ว่าในระหว่างที่เกิดแผ่นดินไหว การสั่นสะเทือนอาจทำให้ปั้นจั่นซึ่งมีน้ำหนักมากเกิดการสะบัดตัวอย่างรุนแรง และส่งแรงกระแทกหรือแรงที่ไม่คาดคิดเข้าสู่โครงสร้างหลักของอาคาร โดยเฉพาะบริเวณปล่องลิฟต์ ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เร่งให้เกิดความเสียหายหรือการพังทลายได้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากปั้นจั่นในลักษณะนี้ยังคงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ต้องรอการตรวจสอบทางวิศวกรรมอย่างละเอียดต่อไป
ประเด็นสำคัญที่ ศ.ดร. อมร เน้นย้ำคือ มาตรฐานการออกแบบอาคารเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว พ.ศ. 2550 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยนั้น อาคารที่เกิดเหตุซึ่งเป็นอาคารสูง ควรจะต้องได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ในระดับที่ไม่ควรเกิดการพังถล่มราบคาบเช่นนี้
การที่ อาคารถล่ม ลงมาทั้งหลังจึงเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอาจมีความบกพร่องในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง การคำนวณแรงต้านแผ่นดินไหว ไปจนถึงกระบวนการก่อสร้างจริงหน้างาน ดังนั้น การตรวจสอบแบบแปลนการก่อสร้าง (As-built Drawing) และการตรวจสอบขั้นตอนการก่อสร้างที่ผ่านมาอย่างละเอียดจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายนี้ ปัจจัยพื้นฐานที่สุดแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด คือ คุณภาพของวัสดุก่อสร้างที่ใช้ในโครงการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนกรีต และเหล็กเสริมแรง จำเป็นต้องมีการตรวจสอบว่าวัสดุที่ใช้มีกำลังในการรับน้ำหนักได้ตรงตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในแบบหรือไม่ คอนกรีตมีกำลังอัดตามที่ออกแบบไว้หรือไม่ และที่สำคัญคือ เหล็กเส้นที่นำมาใช้ในการเสริมกำลังโครงสร้างนั้น เป็นเหล็กที่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) หรือไม่ และมีคุณสมบัติความเหนียว (Ductility) เพียงพอที่จะรองรับการยืดหดตัวเมื่อเกิดแรงกระทำซ้ำๆ จากแผ่นดินไหวได้หรือไม่ หากเหล็กที่ใช้ขาดความเหนียว อาจเกิดการแตกหักได้ง่ายเมื่อรับแรงดึงหรือแรงดัดที่เกิดจากการสั่นสะเทือน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของความวิบัติได้เช่นกัน
โดยสรุปแล้ว การหาสาเหตุที่แท้จริงของการถล่มของอาคารหลังนี้ยังคงต้องอาศัยการตรวจสอบและวิเคราะห์ในเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน ทั้งการวิเคราะห์จุดเริ่มต้นของการพังทลายทางโครงสร้าง การประเมินผลกระทบจากปรากฏการณ์ Resonance การตรวจสอบผลกระทบจากปัจจัยแวดล้อมเช่นปั้นจั่น การทบทวนความถูกต้องและเหมาะสมของการออกแบบตามกฎหมายควบคุมอาคาร และการตรวจสอบคุณภาพของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งทุกปัจจัยล้วนมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสาเหตุหรือปัจจัยร่วมที่นำไปสู่เหตุการณ์อันน่าสลดใจนี้ การสืบสวนหาสาเหตุอย่างตรงไปตรงมาและโปร่งใสจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อนำไปสู่บทเรียนและการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารสูงในประเทศไทยต่อไปในอนาคต
#อาคารถล่ม #แผ่นดินไหว #วิศวกรรมโครงสร้าง #ความปลอดภัยอาคาร #อมรพิมานมาศ #สมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทย #กฎหมายควบคุมอาคาร #PancakeCollapse #Resonance #ดินอ่อนกรุงเทพ #วัสดุก่อสร้าง #คอนกรีต #เหล็กเสริม