หัวเว่ย ชี้ 5G-A และ AI กุญแจสำคัญปลดล็อกศักยภาพโทรคมฯยุคใหม่

หัวเว่ย ชี้ 5G-A และ AI กุญแจสำคัญปลดล็อกศักยภาพโทรคมฯยุคใหม่

หลี่ เผิง รองประธานอาวุโสหัวเว่ย แนะผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั่วโลก เร่งปรับตัวรับยุค AI บูรณาการเข้ากับเครือข่าย 5G-A ชี้ช่วยเพิ่มมูลค่าเครือข่าย สร้างรายได้จากประสบการณ์ใช้งานรูปแบบใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

บาร์เซโลนา, สเปน – โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีนี้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ในงาน Mobile World Congress (MWC) Barcelona 2025 ที่ผ่านมา นายหลี่ เผิง รองประธานอาวุโสฝ่ายองค์กรและประธานฝ่ายขายและบริการไอซีทีของหัวเว่ย ได้แสดงวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำ AI มาผสานรวมกับเครือข่าย 5G-A เพื่อปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของเครือข่าย และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม

นายหลี่ กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า “เรากำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่ง AI อย่างรวดเร็ว แอปพลิเคชันอัจฉริยะกำลังแพร่หลายไปทุกที่และสร้างความต้องการใหม่ ๆ บนเครือข่าย” พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า เทคโนโลยี 5G-A และ AI จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ปริมาณการใช้ข้อมูล (data of usage: DOU) และรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้มือถือ (average revenue per user: ARPU) เติบโตขึ้นในอัตราเลขสองหลัก

AI พลิกโฉมการสื่อสาร: ความต้องการเครือข่ายความหน่วงต่ำ

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่ AI นำมาสู่โลก คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการโต้ตอบระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร (Human-Machine Interaction: HMI) จากเดิมที่เน้นการพิมพ์และการสัมผัส ไปสู่การสื่อสารที่ซับซ้อนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น เช่น การสั่งงานด้วยเสียง การใช้ท่าทาง และการโต้ตอบแบบหลายมิติ (multimodal interaction) ซึ่งทำให้แอปพลิเคชันอัจฉริยะต่าง ๆ เช่น ผู้ช่วยเสียง AI หรือโทรศัพท์บนคลาวด์ที่มีอวาตาร์ AI สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ และมอบประสบการณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ได้สร้างความต้องการใหม่ ๆ ให้กับเครือข่ายโทรคมนาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ “ความหน่วง” (latency) ที่ต้องต่ำมากพอที่จะรองรับการสื่อสารแบบเรียลไทม์เหล่านี้ได้ นายหลี่ ชี้ว่า เครือข่ายจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องจาก 5G NSA (Non-Standalone) ไปสู่ 5G SA (Standalone) และ 5G-A เพื่อให้สามารถรับประกันค่าความหน่วงที่แน่นอนได้ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังสามารถนำเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม เช่น CUPS (Control and User Plane Separation) และ GBR (Guaranteed Bit Rate) มาใช้เพื่อลดความหน่วงพื้นฐาน และให้บริการความหน่วงแบบกำหนดได้สำหรับแต่ละกรณีการใช้งาน

AIGC และการกระจายเนื้อหา: เครือข่ายต้องเร็ว แรง และกว้าง

AI ไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารของเราเท่านั้น แต่ยังปฏิวัติวิธีการสร้างและกระจายเนื้อหาอีกด้วย เทคโนโลยี AIGC (AI-Generated Content) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ 2D หรือ 3D ที่สามารถสร้างขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วเพียงคลิกเดียว ขณะเดียวกัน ระบบแนะนำเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ก็สามารถนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ทำให้การกระจายเนื้อหามีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายหลี่ คาดการณ์ว่า แนวโน้มเหล่านี้จะส่งผลให้ปริมาณการใช้งานเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับการเติบโตนี้ ผู้ให้บริการจำเป็นต้องขยายแบนด์วิดท์ทั้งขาขึ้นและขาลง เพิ่มขีดความสามารถของเครือข่าย และเพิ่มความถี่ที่ใช้งานได้

บริการ AI ที่หลากหลาย: เครือข่ายต้องครอบคลุมและเน้นประสบการณ์

การเกิดขึ้นของอุปกรณ์คลาวด์และอุปกรณ์พกพาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ทำให้บริการอัจฉริยะต่าง ๆ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์คลาวด์ บริการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ หรือแอปพลิเคชันอัจฉริยะภายในรถยนต์ บริการเหล่านี้ล้วนต้องการการเข้าถึงพลังประมวลผลบนคลาวด์ที่รวดเร็ว และเครือข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง

นายหลี่ กล่าวว่า ภายในปี 2030 จะมีผู้ใช้งานโทรศัพท์คลาวด์และบริการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์มากกว่าพันล้านคน และแอปพลิเคชันอัจฉริยะภายในรถยนต์ก็ต้องการเครือข่ายที่ครอบคลุมทั้งในเมือง ทางหลวง และพื้นที่ชนบท เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและต่อเนื่อง การตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้จำเป็นต้องมีการพัฒนาเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่การสร้างเครือข่าย 5G-A ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานเป็นหลัก

ความซับซ้อนของเครือข่าย: การบริหารจัดการที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน

AI ไม่เพียงแต่นำเสนอบริการและแอปพลิเคชันใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ยังเพิ่มความซับซ้อนให้กับเครือข่ายโทรคมนาคมอีกด้วย ความต้องการด้านประสบการณ์การใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้การบริหารจัดการเครือข่ายต้องเปลี่ยนรูปแบบจากการเน้นทรัพยากร (resource-centric) ไปสู่รูปแบบที่ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชัน (application-driven)

นายหลี่ เปิดเผยว่า ผู้ให้บริการบางรายได้เริ่มนำระบบปฏิบัติการและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้แล้ว ตัวอย่างเช่น การใช้ Digital Twin เพื่อคาดการณ์ความต้องการเฉพาะของผู้ใช้ ทำให้สามารถให้บริการได้รวดเร็วขึ้น หรือการใช้ AI เพื่อทำนายและระบุจุดบกพร่องของเครือข่าย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาได้ถึง 30%

โอกาสทางธุรกิจใหม่: สร้างรายได้จากประสบการณ์

นายหลี่ ได้กล่าวถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากความสามารถของเครือข่าย 5G-A และ AI โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้บริการสามารถสร้างรายได้จาก “ประสบการณ์การใช้งาน” (user experience) แทนที่จะพึ่งพาการคิดค่าบริการตามปริมาณข้อมูลเพียงอย่างเดียว

ปัจจุบัน ผู้ให้บริการทั่วโลกกำลังสำรวจวิธีการสร้างรายได้ใหม่ ๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเร็ว ความหน่วง และสิทธิพิเศษ VIP นอกจากนี้ บางรายยังเริ่มขยายไปสู่ตลาด B2B2C (Business-to-Business-to-Consumer) ผ่าน Open API (Application Programming Interface) ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในจีนได้ร่วมมือกับกว่า 100 อุตสาหกรรม เพื่อให้บริการ AI New Calling ผ่าน Open API และสามารถเพิ่มรายได้จากลูกค้าองค์กรได้ถึง 10 เท่า

หัวเว่ยพร้อมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI

นายหลี่ เผิง ได้สรุปปาฐกถาพิเศษของเขาด้วยการยืนยันว่า หัวเว่ยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและพันธมิตรในอุตสาหกรรมทั่วโลก เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เสริมสร้างรากฐานของเครือข่าย และนำ AI มาสู่ทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันสร้าง “DNA ของโลกอัจฉริยะ”

ในปี 2568 นี้ การใช้งาน 5G-Advanced เชิงพาณิชย์ กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และ AI มีบทบาทสำคัญในการช่วยผู้ให้บริการปรับเปลี่ยนธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) หัวเว่ยกำลังทำงานร่วมกับผู้ให้บริการและพันธมิตรทั่วโลกเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่โลกอัจฉริยะ

#Huawei #MWC2025 #5GA #AI #DigitalTransformation #Telecom #Innovation #Connectivity #SmartWorld #AIGC

Related Posts